ห้องพิพิธภัณฑ์แรกสุดจัดแสดงรถไฟรุ่น C62, 300X และ MLX01-1 ซึ่งเป็นรถไฟแมกเลฟตามลำดับ (เครดิตรูปภาพ: Potcharet Rodhetbhai)

SCMAGLEV and Railway Park นาโกย่า

พิพิธภัณฑ์รถไฟและรถไฟพลังงานแม่เหล็กแห่งอนาคตของญี่ปุ่น

ห้องพิพิธภัณฑ์แรกสุดจัดแสดงรถไฟรุ่น C62, 300X และ MLX01-1 ซึ่งเป็นรถไฟแมกเลฟตามลำดับ (เครดิตรูปภาพ: Potcharet Rodhetbhai)
Potcharet Rodhetbhai   - ใช้เวลาอ่าน 1 นาที

ในขณะที่โลกยังคงหมุน ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกันกับระบบรถไฟของประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันที่หลายๆคนเชื่อกันว่าดี สะดวก รวดเร็วอยู่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมมีสิ่งที่ดีขึ้นยิ่งกว่า แต่กว่าที่เราจะไปถึงในสิ่งที่ดีขึ้นยิ่งกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มลงมือทำ ในอนาคตรถไฟชิงกันเซนหรือรถไฟความเร็วสูงในประเทศญี่ปุ่นที่ทุกคนเห็นกันอยู่ในปัจจุบันจะถูกลดความสำคัญลง กลายเป็นเพียงทางเลือกสำรองสำหรับผู้ที่เร่งรีบในการเดินทางไปภูมิภาคต่างๆของญี่ปุ่น เนื่องจากการวิจัยและค้นพบระบบการเดินรถรูปแบบใหม่ที่กำลังจะถูกนำมาใช้ในช่วงอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า

SCMAGLEV and Railway Park เป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟน้องใหม่ล่าสุดของบริษัทรถไฟ JR Central ผู้ดูแลระบบเครือข่ายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของประเทศญี่ปุ่น ภายในจัดแสดงประวัติความเป็นมาของรถไฟ มีโบกี้รถไฟรุ่นต่างๆที่อนุรักษ์เอาไว้อย่างดีเยี่ยมมาจัดแสดงโชว์พร้อมกับบอกเล่าถึงลักษณะการออกแบบ วัตถุประสงค์การใช้งาน และช่วงเวลาที่เคยใช้งานของรถไฟ แต่สิ่งที่เป็นไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือการจัดแสดงและให้ความรู้กับผู้เข้าชมเกี่ยวกับเทคโนโลยีของรถไฟญี่ปุ่นในโลกอนาคตที่ใกล้จะเป็นจริงขึ้นมาทุกขณะ นั่นคือ รถไฟพลังงานแม่เหล็กความเร็วสูง หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่ารถไฟแมกเลฟ (Maglev) นั่นเอง

การเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สามารถทำได้โดยนั่งรถไฟสาย Aonami Line จากสถานี JR Nagoya มาลงที่สถานี Kinjofuto ใช้เวลาเดินทางจากนาโกย่ามา 25 นาที ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 1000 เยน เด็ก 200 เยน

จะมีใครสักกี่คนรู้ว่าอันที่จริงรถไฟพลังงานแม่เหล็กของญี่ปุ่นได้มีการวิจัยขึ้นมาเพื่อเตรียมการก่อนใช้งานเชิงพาณิชย์ในอนาคตตั้งแต่ ค.ศ.1962 หรือเมื่อ 52 ปีที่แล้ว (สมัยก่อนที่จะแปรรูปเป็นบริษัทรถไฟเอกชน JR จากการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่นหรือ JNR และเป็นสมัยช่วงที่ญี่ปุ่นเปิดใช้ระบบรถไฟความเร็วสูงหรือหัวกระสุนใหม่ๆ) โดยระบบตลอดระยะเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา มีการวิจัยและพัฒนาตัวรถไฟพลังแม่เหล็กขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้เป็นรถที่เพิ่งมีข่าวการทดสอบการวิ่งเมื่อประมาณปลายปีที่แล้วรุ่น L0Sieries ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เทคโนโลยีแม่เหล็กยกตัวรถให้ลอยขึ้นจากรางเพื่อลดแรงเสียดทาน (แต่รุ่นที่จัดโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์เป็นรุ่น MLX01-1 ซึ่งเป็นรุ่นที่วิจัยในช่วงปี ค.ศ.1995 หรือเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว)

สิ่งที่น่าสนใจภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นอกจากโซนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติรถไฟทั้งแบบธรรมดา ชิงกังเซน และรถไฟพลังงานแม่เหล็กแล้ว เห็นจะเป็นเรื่องตัวอย่างโบกี้รถไฟที่จัดโชว์ เพราะเป็นรถไฟที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี เปิดให้ผู้คนสามารถเข้าไปชมได้ ตั้งแต่รถไฟในสมัยอดีตไปจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมากถึง 39 โบกี้เลยทีเดียว (บรรยากาศรถไฟบ้านเราทั้งแบบรถนั่งและรถนอนปัจจุบันถ้าเอามาเทียบกันจะเหมือนกับของญี่ปุ่นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2) สำหรับผู้ทื่ชื่นชอบในเมืองรถไฟจำลอง ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ยังมีโลกของรถไฟจำลองอยู่ มีการแสดงแสงสีเสียง ให้คนเห็นระบบการเดินรถในหนึ่งวันของระบบรถไฟจำลองที่ได้ถูกสร้างและมีรายละเอียดต่างๆเป็นอย่างดี มีโซนให้ผู้สนใจเข้ามาฝึกหัดขับรถไฟในระบบโปรแกรมจำลอง ทั้งแบบรถไฟธรรมดา และชิงกังเซนอีกด้วย สำหรับการฝึกขับรถไฟ เราจะต้องเอาคูปองที่ได้รับตอนซื้อตั๋วมาหย่อนใส่ในตู้ แล้วทางพิพิธภัณฑ์จะทำการสุ่มผู้โชคดีได้ทดลองฝีกควบคุมรถไฟ โดยจะประกาศผลเป็นช่วงเวลา แต่ผู้ที่ได้รางวัลต้องเสียเงินเพิ่มในการเล่นครับ ถ้ามองดูเผินๆพิพิธภัณฑ์นี้อาจดูไม่มีอะไร แต่ถ้าได้ลองเข้ามาเดินดูและสัมผัสแล้วคุณจะพบเลยว่าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด...จริงๆนะ

Potcharet Rodhetbhai

Potcharet Rodhetbhai @potcharet.rodhetbhai

ผมชื่อ พชเรศวร์ รอดเหตุภัย อายุ 22 ปี ผมมีความฝันอยากท่องโลกกว้างมาตั้งแต่เด็ก โดยมีประเทศที่ฝันอยากไปมากที่สุด คือ "ญี่ปุ่น" เมื่อเรียนจบมัธยมปลาย ผมมีโอกาสมาประเทศในฝันครั้งแรก และมีโอกาสเดินทางไปครั้งที่สองจากการเข้าร่วมโครงการ Travel Internship ที่เว็บไซต์แห่งนี้ จากประสบการณ์ในทั้งสองครั้งนั...