เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในสิ่งแรกที่ผู้คนมักนึกถึงคือ ซามูไร ความสามารถทางด้านการต่อสู้ด้วยดาบของพวกเขายังคงเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ ความรับผิดชอบในพันธะหน้าที่และการอุทิศตนเพื่อปกป้องเจ้าขูลมูลนายของชาวซามูไรนั้น สูงจนประเมิณค่าไม่ได้ ซามูไรเคยเป็นชนชั้นที่สูงที่สุดในสังคมสมัยโบราณ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเพราะว่านักรบเหล่านี้ได้รับการตอบแทนจากเจ้านายของตนด้วยที่ดินมหาศาล แม้ว่าปัจจุบันนี้ซามูไรจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่จิตวิญญาณของผู้กล้าเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในหมู่บ้านคะคุโนะดาเตะ แห่งจังหวัดอะคิตะ
คุณสามารถเดินทางมายังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในคะคุโนะดาเตะ ได้ทั้งทางรถและทางรถไฟ แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็แล้วแต่ คุณต้องมาลงที่สถานีคะคุโนะดาเตะก่อน และเมื่อออกจากตัวสถานีให้เลี้ยวขวา เดินต่อไปอีกสองนาที คุณจะเจอร้านขายแผนที่และแผ่นพับ ซึ่งมีทั้งภาษาญี่ปุ่น อังกฤษ และภาษาอื่นๆให้ได้เลือก บอกได้เลยว่าการบริหารจัดการของเมืองนี้นั้น ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างพวกเราเดินทางง่ายดายขึ้นมากทีเดียว เพราะทางเมืองได้ติดตั้งแผนที่บอกสถานที่ตั้งไว้โดยรอบเมือง นอกจากนี้ยังมีทัวร์แท๊กซี่ให้บริการ หรือแม้กระทั่งเจ้าของร้านขายของตามทางผู้เป็นมิตร ก็สามารถช่วยบอกทางให้คุณได้หากคุณหลงทาง คุณสามารถซื้อขนมขบเคี้ยวหรือของฝากเล็กๆน้อยๆได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แต่ผมขอแนะนำให้คุณอดทนรออีกสักหน่อย จนกว่าจะถึงแหล่งท่องเที่ยวในเมืองจะดีกว่า คราวนี้ก็เปิดแผนที่และเริ่มต้นการเดินทางสุดเจ๋งของคุณกับซามูไรในหมู่บ้านคะคุโนะดาเตะได้เลยครับ
คะคุโนะดาเตะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะที่เป็นถิ่นฐานของชาวซามูไร ซากของเก่ามากมายที่กระจัดกระจายไปทั่วเมืองนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลซามูไรซาตาเคะ แม้ว่าตระกูลซาทาเคะจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในศึกสงครามเซคิงาฮาระ โชกุนคนใหม่ผู้ชนะศึก โทะกุงาวะ อิเอะยาซุ ก็ยังแสดงความเคารพนับถือต่อตระกูลซามูไร โดยการให้โอกาสตระกูลซาตาเคะเข้าร่วมกับรัฐบาลของตน แม้ว่าที่ดินของซาตาเคะจะถูกยึดกลับไปจำนวนมากก็ตาม ปัจจุบันนี้ ทายาทแห่งครอบครัวซามูไรผู้ร่ำรวย ก็ได้ทำการเก็บรักษาและจัดแสดงหมู่บ้านของพวกเขาที่ผ่านศึกสงครามอย่างโชกโชนด้วยความภาคภูมิใจ
แม้ว่าที่นี่จะมีวัดวาอารม ศาลเจ้า ภัตตาคาร หรือแม้กระทั่งรถลาก แต่ผู้คนจำนวนมากมาที่คะคุโนะดาเตะ เพื่อมาชมคฤหาสน์ซามูไร ซึ่งมีอยู่เจ็ดแห่งด้วยกันในเมืองแห่งนี้ คฤหาสน์แต่ละหลังนั้นมีประวัติศาสตร์และบรรยากาศที่แตกต่างกันไป การไปเยือนคฤหาสน์ให้ครบทั้งเจ็ดหลังนั้นง่ายมากทีเดียว เพราะคุณสามารถเดินเท้าจากหลังหนึ่งไปสู่อีกหลังหนึ่งได้ภายในสิบนาทีเท่านั้นเองครับ พูดถึงเรื่องค่าเข้าชมนั้นน้อยกว่า 500 เยนหรือบางครั้งก็ฟรีด้วย ขึ้นอยู่กับนโยบายของบ้านแต่ละหลัง ก่อนที่จะเข้าไปสำรวจภายในบ้าน ก็ควรจะชื่นชมสถาปัตยกรรมสมัยเอโดะด้วยสักหน่อยนะครับ น่าสนใจมากทีเดียวที่บางหลังยังคงมุงหลังคาจากอยู่ นอกจากนี้ยังพื้นที่เพียงเล็กน้อยสำหรับสวนแม้ว่าพื้นที่โดยรวมจะมีขนาดมหาศาลก็ตาม
จากความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านเข้าไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ซามูไรอาโอยางิ เพราะหลังนี้ถือว่าเป็นหลังที่มีขนาดใหญ่ที่สุดหลังหนึ่ง และยังมีรูปแบบการสร้างที่สวยที่สุดในเมืองด้วย ผมยังจำความรู้สึกขณะที่เดินผ่านประตูหน้าของคฤหาสน์ได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าผมเป็นซามูไรที่พึ่งกลับมาจากการเดินเล่นในช่วงบ่าย จากนั้นผมก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นของผมด้วยการถ่ายรูปสวนและบ้านที่เก็บรักษาของใช้โบราณของซามูไร อย่างเช่น ชุดเกราะ ดาบ รวมทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน การที่ได้เห็นของเหล่านี้นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะของทั้งหมดนี้เป็นมรดกตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น อีกอย่างนึงนะครับ มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากกับการที่ได้เห็นคนใส่ชุดเกราะซามูไรเดินอยู่บนถนนหมูบ้านแห่งนี้ คุณเองก็สามารถมาสัมผัสจิตวิญญาณของนักรบซามูไรผู้กล้าเหล่านี้ได้เช่นกันครับ