ในปี 1935 สถาปนิกชาวเยอรมัน บรูโน่ ทอท ได้มาเยี่ยมชมเมืองอาคิตะและสนใจหม้อน้ำบนหลังคาของบ้านหลังนี้อย่างมากซึ่งเรื่องนี้ได้รับการอธิบายไว้ในหนังสือของเขา”Das japanische Haus und sein Leben”หรือ”บ้านและผู้คนของประเทศญี่ปุ่น” บรูโน่เป็นสถาปนิกแต่อาจจะกล่าวว่าเขาเป็นนักมนุษย์วิทยาโดยบังเอิญด้วยก็ได้เพราะว่าเขามีความฉลาดและไหวพริบเกี่ยวกับรายละเอียดของสถาปัตยกรรมอาคิตะและความเชื่อมโยงของมันกับสังคมและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอาคิตะในเวลานั้น สิ่งที่แตกต่างของสถาปัตยกรรมพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณของครอบครัวคาเนโกะกับที่อื่นๆคือความเรียบง่ายและความเคารพที่ดึงออกมมาจากประเพณีของครอบครัว ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะเข้าใจถึงอิทธิพลซึ่งกันและกันระหว่างสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นและประเพณีทางสังคมอย่างลึกซึ้งมากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ ไกด์ที่นี่หลายคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมันมาก ถ้าคุณมาที่นี่เหมือนกับว่าคุณกำลังเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์อาคิตะในมหาวิทยาลัยแบบเปิดโล่งแต่มันจะช่วยคุณได้มากหากคุณสามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่น หากคุณไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น คำอธิบายภาษาอังกฤษทั่วพิพิธภัณฑ์จะบอกคุณถึงรายละเอียดประวัติความเป็นมาของสถานที่พิพิธภัณฑ์
บ้านโบราณของครอบครัวคาเนโกะมีตัวบ้านหลักและห้องเก็บของกำแพงโคลน สร้างในสมัยเอโดะ มีห้องคนรับใช้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะเด่นแบบดั้งเดิมและการออกแบบตกแต่งภายในจากยุคนั้น
ตัวบ้านหลักสร้างขึ้นมาใหม่ ในปี 1887 และห้องเก็บของกำแพงโคลนสร้างขึ้นในภายหลัง ประตูทั้ง 2 ของห้องเก็บของน่าประทับใจมาก ห้องพักสำหรับคนรับใช้หญิงแสดงให้เห็นถึงความงดงามของแฟชั่นสมัยนั้น สิ่งที่ผมชอบมากในบ้านหลังนี้คือ มันเป็นทั้งร้านค้าและห้องแสดงนิทรรศการซึ่งมีลักษณะผสมผสานระหว่างห้องนั่งเล่นแบบมีเสื่อทาทามิและห้องนั่งเล่นแบบธรรมดา เมื่อคุณซื้อสินค้าที่นั่น มันเหมือนกับว่าคุณเป็นทั้งลูกค้าและแขกของบ้านในเวลาเดียวกัน คุณสามารถจินตนาการไปว่ากำลังนั่งจิบชาพร้อมกับนั่งชื่นชมชุดกิโมโนได้เลย ช่างศิวิไลซ์ซะจริงๆ! การเลื่อนฉากประตูเปิดให้บ้านทั้งบ้านปะทะกับถนนเป็นวิธีโบราณในการเปิดรับสิ่งข้างนอกเข้ามาข้างในบ้านและในฤดูหนาวการเลื่อนฉากประตูปิดเป็นการกั้นไม่ให้ความหนาวเข้ามาในบ้านอย่างได้ผลเมื่อตอนร้านปิด
1 ในความแปลกของบ้านหลังนี้คือ หม้อน้ำบนหลังคา ผู้คนต่างสงสัยว่าทำไมหม้อถึงอยู่บนนั้น บางทีมันอาจจะเป็นนวัตกรรมที่สร้างมาล่วงหน้าก็เป็นได้ บางครั้งวารสารทางสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยพูดถึงการใช้น้ำฝนทดน้ำเพื่อทำสวนบนหลังคา บางทีคุณคาเนโกะอาจรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้?
ในปี 1997 สภาเมืองอาคิตะกำหนดให้บ้านเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ในขณะที่คุณกำลังมองหามรดกทางวัฒนธรรมแห่งนี้ ทำไมคุณไม่ลองไปในเมืองอาคิตะเพื่อเยี่ยมชมศูนย์ศิลปะการแสดง แบบดั้งเดิมหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ”ศูนย์แสดงเทศกาลคันโตะ”หรือ”เนบุริ นางาชิกัง” “เนบุริ นางาชิ”หมายถึงการชำระล้างความง่วงออกไป ในอดีตเชื่อกันว่าวิญญาณชั่วร้ายสามารถเข้าควบคุมร่างกายคนในขณะนอนหลับและในช่วงเทศกาลโอบ้งความง่วงนอนนี้ถูกขจัดออกไปด้วยการอาบน้ำ 7 ครั้ง เทศกาลโอบ้งยังมีขึ้นในช่วงที่ร้อนที่สุดในปีดังนั้นแล้วมันอาจจะแฝงประโยชน์อื่นๆไว้อีกด้วย โคมไฟที่ใช้ในงานเทศกาลคันโตะถูกเรียกว่าโคมไฟ“เนบุริ นางาชิ”
ศูนย์ยังเป็นบ้านของสิ่งประดิษฐ์จากอาคิตะ มันไซ(ละครการ์ตูน)และคุโรกาว่าและยามายะ บันกาคุ(การเต้น) นอกจากนี้ยังมีห้องประชุมที่คุณสามารถเช่าใช้ได้ในราคา 1030 เยนต่อชั่วโมง ดังนั้นถ้าคุณสนใจที่จะฝึกเต้นรำแบบดั้งเดิมกับกลุ่มของคุณหรือจัดการประชุม ที่นี่เหมาะกับคุณจริงๆ!
เวลาเปิดให้บริการตั้งแต่ 9:30น.-16:30น. ค่าเข้า 100 เยนทั้งพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณของครอบครัวคาเนโกะและศูนย์แสดงเทศกาลคันโตะ จากที่นี่เดินไปอีก 5 นาทีจะเป็นอะคาเร็นกะ เกียวโดะ คันบ้านประวัติศาสตร์บาโรก/ยุคฟื้นฟูศิลปะ คุณสามารถซื้อตั๋วแบบเหมาเพื่อเข้าพิพิธภัณฑ์เหล่านี้โดยจ่ายเพียง 250 เยน ประหยัดเงินได้ 50 เยนหากเปรียบกับการซื้อตั๋วแยกเข้า 2 ที่ ผมว่าคุณควรไปพิพิธภัณฑ์ตอนบ่ายสัก 1 หรือ 2 ชั่วโมงก่อนมันปิดเพราะหลังจาก 4 โมงครึ่ง คุณสามารถเดินไปตามแม่น้ำเพื่อไปหาร้านขายอาหารและสาเกท้องถิ่น เช่น ร้านวาโชกุ คันรากุและอาคิตะ ไดนิ่ง คามากุรายะ