เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง พร้อมกับสีของใบไม้ที่สวยสดงดงาม ผมจึงตัดสินใจไปปืนเขาที่ภูเขาอิชิซุจิ และผมก็ได้ยินมาว่าภูเขานี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่นักกีฬา แต่ผมก็มั่นใจว่าผมสามารถปีนเขาอิชิจุจิ เพราะผมเองก็เคยปีนเขาหัวซานที่ว่ากันว่าเป็นภูเขาที่ชันที่สุดในประเทศจีนมาแล้ว
ผมไม่ค่อยกังวลเรื่องการปีนเขาอิชิจุชิมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยรถยนต์ได้ถึงครึ่งหนึ่งของระยะทางบนเขา ในช่วงแรกผมเดินได้เร็วทีเดียว จากการที่ดินบนภูเขานั้นชุ่มชื้นเพราะฝนตกในวันก่อน และทางเดินนั้นไม่ชันมาก ผมเลยสามารถเดินชมความงามของป่าไม้ข้างทางได้อย่างสบายใจ
ในขณะที่ผมคิดว่าเส้นทางมันคงง่ายไปตลอดจนถึงยอดเขา ผมก็พบกับขั้นบันไดที่สูงชันซึ่งส่วนใหญ่นั้นทำจากไม้และลื่นมากๆเพราะความเปียกชื้น ผมจึงต้องเดินช้าลง และเริ่มไม่สนใจทิวทัศน์ข้างทางซะแล้ว
เมื่อผมใกล้ถึงยอดเขา ผมก็ยิ่งต้องพักบ่อยขึ้น และสีของใบไม้ในบริเวณนั้นเริ่มเป็นสีแดงมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมรู้สึกมีแรงฮึดสู้ต่อ
ในที่สุดผมก็มาถึงที่ๆน่าจะเป็นยอดเขาอิชิซุจิ เพราะมีคนนั่งพักเหนื่อยอยู่มากมาย และมี ศาลเจ้าอิชิซูจิ ตั้งอยู่ที่นี่แต่ทว่าที่นี่กลับยังไม่ใช่ยอดเขาอิชิซูจิที่แท้จริง เนื่องจากเขาอิชิซุจินั้นมีความสูง 1,982 เมตร และมียอดเขาที่มีชื่อว่า เทนกุดาเกะ ซึ่งยังคงอยู่อีกไกลจากจุดที่ผมอยู่ ยอดเขาเทนกุดาเกะมีรูปทรงสามเหลี่ยม ส่วนเส้นทางไปที่ยอดเขานั้นดูจะชันเกินไปสำหรับผม ผมจึงเลือกที่จะไม่ไปที่นั่น แต่อย่างไรก็ตามทิวทัศน์จากพื้นที่บริเวณยอดเขานั้นสวยมากๆ และใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง สภาพแวดล้อมบริเวณเขาอิชิซุจินั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบไม้ที่เปลี่ยนสีตามฤดูใบไม้ร่วง ทั้งสีแดงและสีเหลืองทองที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล
แต่น่าเสียดายที่หมอกลงเสียก่อน ผมจึงไม่ได้ถ่ายภาพทิวทัศน์สวยๆเพิ่มอีก แต่อย่างไรก็ตามหมอกที่ปกคลุมภูเขาทำให้เกิดบรรยากาศที่ดูมีมนต์ขลังและดูน่าประทับใจไปอีกแบบ
ผมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการปีนเขาอิชิซุจิ ทุกคนที่มาปีนเขาต่างกล่าวคำ “สวัสดี” เมื่อพบหน้ากัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นในประเทศจีนมาก่อนจริงๆ
โดย วู ยิง (ผู้ประสานงานฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จังหวัดเอฮิเมะ)