หมู่บ้านราเมนอะซาฮิคาว่า (Asahikawa Ramen Village) เป็นอาคารหลังยาวหลังเดียวที่มีร้านราเมนชื่อดัง 8 ร้านที่แสดงฝีมือการปรุงให้ลูกค้าได้ลิ้มลองและยังมีเรื่องราวความเป็นมาของราเมนจัดแสดงให้ชมอีกด้วย (เครดิตรูปภาพ: Suparkorn Netvijit)

ซู้ดดังๆที่หมู่บ้านราเมนAsahikawa

อิ่มอร่อยกับรสชาติราเมนต้นตำรับแท้สไตล์ญี่ปุ่น

หมู่บ้านราเมนอะซาฮิคาว่า (Asahikawa Ramen Village) เป็นอาคารหลังยาวหลังเดียวที่มีร้านราเมนชื่อดัง 8 ร้านที่แสดงฝีมือการปรุงให้ลูกค้าได้ลิ้มลองและยังมีเรื่องราวความเป็นมาของราเมนจัดแสดงให้ชมอีกด้วย (เครดิตรูปภาพ: Suparkorn Netvijit)
Suparkorn Netvijit   - ใช้เวลาอ่าน 1 นาที

ราเมน (Ramen) ถือเป็นอาหารเมนูยอดนิยมของคนญี่ปุ่น เพราะด้วยความที่กินง่ายและมีรสชาติที่หลากหลายจึงเป็นที่ถูกใจของคนญี่ปุ่นทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงคนไทยเช่นกันที่ตอนนี้บรรดาร้านราเมนชื่อดังจากดินแดนอาทิตย์อุทัยได้อิมพอร์ตส่งตรงเข้ามาเปิดสาขาให้ชาวไทยได้ลิ้มลองรสชาติแบบ Japannese Ramen กันอย่างล้นหลาม

แต่ไหนๆถ้าคุณมีโอกาสได้มาเยือนเมือง Asahikawa ทั้งที ก็อย่าพลาดที่จะมาทานราเมนต้นตำรับแท้สไตล์ฮอกไกโดที่ “หมู่บ้านราเมนอาซาฮิคาว่า (Asahikawa Ramen Village)” ที่ราเมนของที่นี่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และได้รับการกล่าวขานถึงความอร่อยมายาวนานกว่าทศวรรษ

หมู่บ้านราเมนอาซาฮิคาว่าได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1996 โดยรวบรวมร้านราเมนชื่อดังของเมืองอาซาฮิคาว่าทั้ง 8 ร้านมาอยู่รวมกันเป็นอาคารหลังคาเดียว เสมือนหมู่บ้านราเมนที่รวบรวมร้านดังขั้นเทพไว้ในที่เดียว และยังมีห้องเล็กๆที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านแห่งนี้ให้สำหรับผู้ที่สนใจได้มาศึกษาอีกด้วย

แต่!ความลำบากในการตัดสินใจอยู่ที่ “แล้วจะทานร้านไหนดี?” อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละท่านเลยค่ะว่าจะเลือกร้านใด เพราะแต่ละร้านล้วนได้รับการการันตีความอร่อยมาเหมือนกันหมด และทุกๆร้านจะสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้านตนเองขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า เช่น ร้าน Asahikawa Ramen Aoba ที่แสนภาคภูมิใจในความเป็นราเมนเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในอาซาฮิคาว่า หรือจะเป็นร้าน Ramen Shop Tenkin ที่เชื่อมั่นในน้ำซุปของตัวเองว่าเป็นหนึ่งไม่แพ้ใคร ฉะนั้นผู้เขียนจึงลองไปทานที่ร้าน Asahikawa Ramen Aoba เพื่อพิสูจน์ความเป็นตำนานว่ารสชาติจะสมคำล่ำลือหรือไม่

เมื่อเข้ามาในร้าน ท้องเริ่มร้องดังขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่รีรอรีบเปิดเมนูอย่างรวดเร็ว พอเปิดมาอย่างแรกที่ค้นพบคือ “ทุกเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย” (แน่นอนว่าอยู่ญี่ปุ่นคงไม่น่ามีภาษาละติน - -‘) น้ำตาจะไหลอ่านไม่ออก T-T พยายามเปิดทุกหน้าแล้วแต่ก็ยังไม่เจอภาษาอังกฤษ ผู้เขียนเลยใช้สกิลทางด้านศิลปะการถ่ายภาพขั้นสูงเข้าช่วยค่ะ คือดูรูปที่ภาพสวยที่สุดแล้วสั่งเมนูนั้นเลย สุดท้ายก็ได้มิโซะราเมนกับไข่ออนเซนชามโตมาเสิร์ฟที่โต๊ะ (ทีหลังมาทราบว่าเป็นราเมนที่มีต้นกำเนิดที่เกาะฮอกไกโดแห่งนี้) โดยเครื่องเคียงโปะหน้าของร้านนี้ถือได้ว่าจัดเต็มมากๆทั้งหมูชาชูแผ่นหนา เมงมะหรือหน่อไม้ดองกรุบๆ และหัวหอมญี่ปุ่นซอย พอลองซดน้ำซุปสัมผัสแรกที่รู้สึกได้คือความเข้ากันของรสชาติที่ผสานกันได้อย่างกลมกล่อม อาจจะเค็มๆบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นรสที่ได้จากการเคี่ยวเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (มิโซะ) กับกระดูกหมู แต่พอได้ทานคู่กับเส้นราเมนสีเหลืองสวย หนานุ่มกำลังดีก็ทำให้ได้รสชาติที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก แถมไข่ออนเซนที่ต้มกำลังดีไม่สุกหรือเหลวจนเกินไปก็ยิ่งเพิ่มความอร่อยเข้าไปแบบยกกำลังสอง

และด้วยความหิวแบบฉุดไม่อยู่จึงสั่งเกี๊ยวซ่ามาอีก 1 จาน หน้าตาอาจจะดูธรรมดาทั่วไป แต่รสชาติขอบอกว่าทานแล้วคุณจะลืมรสชาติเกี๊ยวซ่าทุกที่ที่คุณได้เคยทานไปเลย ตัวแป้งข้างนอกกรอบบางแบบพอดีๆ กับตัวไส้ข้างในเป็นหมูนุ่มๆผสมผักหลากชนิดทำให้ได้รสชาติที่โดดเด่นเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน จนต้องสั่งจานที่สองต่อมาแบบไม่ต้องกลัวกระเพาะจะทำงานหนักเลย

นอกจากนี้ราเมนยังมีวัฒนธรรมการทานที่นักท่องเที่ยวอย่างเราควรรู้เพื่อที่จะได้เข้าใจคนญี่ปุ่นมากขึ้น นั้นคือเวลาทานห้ามคีบเส้นมาใส่ช้อนก่อนแล้วค่อยทาน แต่ต้องใช้ตะเกียบคีบเส้นและเครื่องเคียงแล้วเอาเข้าปากเลย ช้อนมีไว้สำหรับซดน้ำซุปเท่านั้น และถ้าราเมนร้านไหนอร่อยมากๆคนญี่ปุ่นก็จะไม่เหนียมอายที่จะยกชามซู้ดดดด เสียงดังเป็นการให้สัญญาณกับพ่อครัวว่า “ราเมนอร่อยมากกก” ยิ่งดังเท่าไหร่ยิ่งอร่อยเท่านั้น แต่ผู้เขียนก็ไม่กล้าทำนะคะ ขอใช้ช้อนซดน้ำซุปอร่อยแบบเงียบๆไปก่อนดีกว่า อีกอย่างที่สำคัญคือ เราไม่สามารถจะบอกคนรับออเดอร์ว่าไม่เอานั้น ไม่เอานี่ แบบคนไทยไม่งอก ไม่พริก ไม่เส้น (ไม่กิน 555) เพราะเป็นสูตรของทางร้านที่คิดค้นมาแล้วว่าต้องใส่อะไรบ้างรสชาติถึงจะลงตัว แต่สามารถขอเพิ่มได้นะคะ เช่น เพิ่มชาชู หรือเพิ่มไข่ ราคาก็เพิ่มตามจำนวนสิ่งที่ขอค่ะ และพอเวลาราเมนมาเสิร์ฟอย่าเพิ่งใจร้อนถามหาเครื่องปรุงนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นถือว่าการขอเครื่องปรุงเป็นการบ่งบอกว่าอาหารรสชาติไม่อร่อย ดังนั้นควรลองทานก่อนนะคะ ถ้าไม่ใช่ทางเราค่อยขอเนอะ

สำหรับราเมนชามโตนี้ราคาอยู่ที่ 1,100 เยน (ปกติไม่เพิ่มไข่อยู่ที่ 1,000 เยน) และเกี๊ยวซ่าราคา 450 เยน (มี 5 ชิ้น) ถือว่าอิ่มมากๆ เหมือนการทานราเมนหนึ่งชามของที่นี่เท่ากับก๋วยเตี๋ยวสองชามของเมืองไทยเลยแหละค่ะ อ้อ..ที่นี่ทุกร้านไม่รับบัตรเครดิตนะคะ จ่ายเงินสดอย่างเดียวเท่านั้นค่ะ แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงที่จะมาทานตอนช่วงเวลากลางวันนะคะ เพราะหนุ่มสาวออฟฟิศชาวญี่ปุ่นจะออกมาทานราเมนกันเวลานี้เยอะมากบวกกับจำนวนโต๊ะและขนาดร้านที่มีพื้นที่อันจำกัด อาจจะทำให้คุณเสียเวลารอนานได้ ควรมาก่อนหรือหลังเที่ยงเป็นต้นไปจะดีที่สุดค่ะ ถ้าทานอิ่มแล้วอยากเดินย่อยบริเวณรอบๆจะเป็น Community Mall ที่มีห้างดังใหญ่ๆจำนวนมาก ให้เดินช็อปปิ้งย่อยอาหาร เผาพลาญแคลอรี่กันแบบชิลๆ

สำหรับการเดินทางมาหมู่บ้านราเมนอาซาฮิคาว่าสามารถนั่งรถ City Tour Fun Fun Bus จากสถานี JR Asahikawa จะมีรถออกทุกๆ 1 ชั่วโมง มาลงตรงหมู่บ้านแห่งนี้ได้เลย หรือสามารถนั่ง Taxi จากสถานี JR มา 15 นาทีก็ถึงเลยค่ะ ค่าโดยสารไม่เกิน 2,000 เยนค่ะ

รับรองว่ามาที่นี่แล้วคุณจะได้รับทั้งความอร่อยของราเมนต้นตำรับแท้ๆและความอิ่มชนิดลืมความหิวไปได้หลายมื้อเลยค่ะ

** ข้อมูลเพิ่มเติม **

ในประเทศญี่ปุ่นจะแบ่งราเมนออกเป็นหลายประเภท แต่ถ้าแบ่งตามสูตรทั่วไปได้ทั้งหมด 4 สูตร ได้แก่ ชิโอะราเมน หรือราเมนเกลือ เป็นราเมนสูตรเบสิคที่ใช้เกลือเป็นส่วนประกอบในการทำน้ำซุป, โชยุราเมน คือราเมนผสมโชยุหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น, มิโซะราเมน ที่มีต้นกำเนิดมาจากฮอกไกโด โดยจะมีการผสมมิโซะหรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นลงไปในน้ำซุป, ทงคัตซึราเมน คือราเมนกระดูกหมูสีขาวครีม นอกจากนี้ยังแบ่งตามสูตรของแต่ละท้องถิ่น เช่น ซัปโปโรราเมน, ฮาคาตะราเมน เป็นต้น

Suparkorn Netvijit

Suparkorn Netvijit @suparkorn.netvijit

Hi! I'm KiKi from Thailand :) I love traveling in Japan and eating sushi xoxoThank you for coming to my world and hope you enjoy!