เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางครับ เรามาอยู่กันที่เมือง Otaru เมืองท่าที่เก่าแก่อีกหนึ่งแห่งตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยของกิน สถานที่เดินเที่ยว และแน่นอนที่สุด "ของฝาก" พวกเราพักโรงแรมแคปซูลเล็กๆติดกับสถานีรถไฟเพื่อการเดินทางที่สะดวก แม้ราคาจะถือว่าไม่ได้ถูกมาก แต่เปลี่ยนบรรยากาศมานอนในแคปซูลก็ตื่นเต้นดีไม่น้อย คนแถวนั้นบอกว่าการเที่ยวของเมืองนี้ทำได้อย่างเดียวคือ "เดินให้เยอะที่สุด" พวกเราจึงรีบออกเดินทางทันทีเมื่อนอนเต็มอิ่ม
ความซวยครั้งใหญ่บังเกิดขึ้นเนื่องจากพวกเราไม่มีอินเตอร์เน็ตและไม่ได้เช็คสภาพอากาศ(ต้องพูดว่าเช็คไม่เป็นจะถูกต้องกว่า) ซึ่งทำให้หลังจากที่เราเดินออกจากที่พักไปได้ 2 ชั่วโมงระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปชมคลองโอทารุชื่อดัง เราโดนพายุหิมะลูกใหญ่ถล่มอย่างแรง ในตอนแรกพวกเราก็แอบเอะใจว่าเมืองที่โด่งดังขนาดนี้ทำไมมันไม่มีผู้คนเลย ที่ไหนได้คนเค้าหลบพายุหิมะกันอยู่ในบ้าน บังเอิญคราวซวยขณะกำลังเดินชมวิวแถบอู่ต่อเรือใกล้ๆคลอง ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่โล่งกว้างไม่มีสิ่งปลูกสร้างไว้อิงแอบ พายุหิมะลูกใหญ่ถาโถมลงมาแบบไม่ส่งสัญญาณ พวกเรา 3 คนต้องเดินเกาะหลังกันไปเรื่อยๆเพื่อตามหาที่หลบภัย แต่มันเป็นอะไรที่ยากมากครับเพราะวิสัยทัศน์เราจำกัดแค่ 5-7 เมตรเท่านั้น ผมต้องเดินอยู่ตรงกลางเนื่องจากแต่งตัวไม่เหมาะสมที่สุด ไม่มีแว่นไม่มีหมวกไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีเพื่อนมาด้วยคงนอนจมกองหิมะไปเรียบร้อย เราเดินมั่วอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกแรงชนิดที่ว่ารู้สึกเหมือนมีคนปาหิมะอัดใส่อยู่ตลอดเวลา เป็นเวลากว่า 10 นาทีกว่าจะมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งที่ยอมให้เราเข้าไปหลบภัย รอดชีวิตมาได้ด้วยความดีใจครับแม้ผิวหน้าจะโดนหิมะกัดอยู่ไม่น้อย นี่คงเป็นบทเรียนราคาแพงของพวกเรา บทเรียนที่เราเอาชีวิตไปเสี่ยงแบบไม่รู้ตัว กว่าพายุหิมะจะหมดก็เริ่มจะดึกแล้วครับเราเลยอดเที่ยวชมคลองโอทารุกัน
เวลาที่เหลือเราเอามาทุ่มให้กับถนนคนเดินสำหรับของฝาก ตลอดสองข้างทางจะเป็นร้านขายของฝากสไตล์บ้านญี่ปุ่นเล็กๆน่ารักมากมาย พวกผมอาจจะใช้เวลาน้อยหน่อยในการเดิน แต่ถ้าเป็นคุณผู้หญิงแล้วหละก็ เดินลืมเวลากันเลยทีเดียว สุดปลายถนนมีพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีชื่อ Otaru Orgel Emporium เป็นตึก 3 ชั้น จำหน่ายของที่ระลึกและกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกกล่องต่างหากแล้วค่อยมาเลือกเพลงได้ พร้อมบริการรับแกะสลักตัวอักษรให้ด้วย เป็นสถานที่ที่ต้องเข้าไปชมเป็นอย่างยิ่งถ้ามาโอทารุ