วันสุดท้ายในฮาโกดาเตะของผมคือการออกไปเที่ยวครั้งสุดท้ายก่อนบอกลาชีวิตที่ฮอกไกโด แม้ว่าฮาโกดาเตะจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็เหมาะจะหลบออกไปหาที่พักผ่อน เพราะว่าเมืองนี้ก็มีความรีบเร่งวุ่นวายไม่ตากจากเมืองอื่น ๆ ในญี่ปุ่นนัก
ผมเดินทางด้วยรถไฟบ่อยมาก ๆ และรู้สึกสะดวกดีที่ใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็ไปถึงตอนเหนือของเมืองแล้ว แต่ผมมีอะไรจะบอกให้ฟัง การนั่งรถไฟด่วนนั้นทั้งรวดเร็วและสะดวกสบายก็จริง แต่ตอนขากลับเข้าเมืองผมได้ลองนั่งรถไฟเส้นธรรมดาดู ซึ่งก็ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 35 นาทีแถมยังได้ชมวิวที่สวยจนน่าตะลึงเมื่อรถไฟแล่นผ่านทะเลสาบโคนูมะอีกด้วย
รถไฟสายฮาโกดาเตะพาผมไปยังทะเลสาบโอนูมะและโคนูมะรวมถึงภูเขาไฟสงบที่ชื่อโคมางาตาเกะด้วย การจะเก็บประสบการณ์ที่วนอุทยานแห่งชาติโอนูมะให้ได้มากที่สุดคือด้วยการเดินชม ไม่ใช่ด้วยจักรยาน
เมื่อมาถึงที่สถานีโอนูมะ โคเอนแล้ว คุณสามารถเลือกได้ว่าจะเช่าจักรยาน แล้วใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงแล่นผ่านเส้นทางยาว 9 ไมล์ที่วนรอบทะเลสาบโอนูมะหรือจะลองออกเดินตามที่ผมบอก ผมเริ่มเดินตรงมาจากสถานี ผ่านร้านขายขนมหวานของญี่ปุ่นแล้วเลี้ยวซ้ายจุดแรก อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็ถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินที่ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง
ธรรมชาติ บวกกับความหลงใหลที่มีต่อเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของชาวญี่ปุ่นและความชื่นชอบในการถ่ายภาพทำให้บรรดาเนินที่อยู่ทั่วผืนทะเลสาบถูกเชื่อมถึงกันด้วยสะพานที่สวยงามดั่งภาพวาด ตลอดทางเดินจะมีจุดให้หยุดแวะชมมากมาย ที่สามารถพักผ่อนและเก็บรูปวิวสวย ๆ ในบริเวณนั้นได้ด้วย วันนั้นผมโชคดีมีโอกาสได้เจอกับเมฆที่ลอยมาต่ำดูเหมือนสายหมอกและพัดผ่านยอดเขาโคมางาตาเกะไป
ผมกลับไปถึงยังจุดเริ่มต้นการผจญภัยแล้วไปทางฝั่งตะวันออกผ่านศูนย์ล่องเรือเที่ยวแล้วลงไปตามทางของบริเวณนี้ที่ถูกปูไว้ หลังจากหยุดพักสั้น ๆ ใกล้กับบ่อปลาที่วัยรุ่นต่อคิวกันเพื่อจะตกปลาเทราท์ให้ได้กันคนละตัวสองตัวแล้ว ผมก็กลับไปยังสถานี
ก่อนจะขึ้นรถไฟเที่ยวกลับ ผมเดินผ่านแผงขายผลไม้แล้วเจอกับเมล่อนยูบาริสุดจะแพงหูฉี่เหนือความเข้าใจที่มีราคาลูกละ 15,000 เยน แล้วพอเดินผ่านไปต่อที่ซุ้มขายไอศครีม ผมก็ไม่ได้พิสมัยอยากจะกินไอศรีมหมึกปลาเช่นเดียวกัน แต่ว่าผมกลับห้ามใจตัวเองไม่อยู่ต้องเดินเข้าร้านขนมหวานแล้วลองชิมของขบเคี้ยวรสหวานเค็มที่เสิร์ฟมาบนถาดขนาดจิ๋วสุดน่ารัก
ถาดจะแบ่งเป็นสองส่วน ที่มีโมจิเป็นรูปลูกเต๋าชิ้นเล็ก ๆ วางอยู่ ส่วนที่เป็นสีคาราเมลจะหวานและออกเค็มนิด ๆ ที่กระตุ้นลิ้นได้เป็นอย่างดี และส่วนที่เป็นสีแดงซึ่งเติมหวานด้วยซอสถั่วแดงอัทซึกิคือของอร่อยปิดท้ายการเดินไกลและการเที่ยวฮอกไกโดวันสุดท้ายของผม