คามาคุระ ไดบุซึ
Tomoko Kamishimaพระพุทธรูปไดบุซึใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ หนึ่งในพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นที่นิยมและรักมากที่สุดในญี่ปุ่น และแน่นอนในโลก
คุณรู้หรือไม่ว่าสถานที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในการภาพถ่ายที่ระลึกของนักท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นคือที่ไหน? และคุณรู้หรือไม่ว่ารูปปั้นรูปแรกที่ได้รับการถ่ายภาพ และแนะนำให้นักเดินทางชาวต่างชาติได้รู้จักคือารูปปั้นอะไร? คำตอบสำหรับคำถามทั้งสองนี้จะเหมือนกัน คือ คามาคุระ ไดบุซึ
คามาคุระ ไดบุซึ เป็นรูปปั้นบรอนซ์ที่สร้างขึ้นในกลางศตวรรษที่ 13 (760 ปีก่อน) พระพุทธรูปที่นั่งสมาธิกลางแจ้งมาเป็นเวลากว่า 500 ปี หลังจากการสูญเสียวิหารที่สร้างครอบองค์พระเดิม เมื่อคุณมาเยี่ยมชม คุณอาจเห็นพระพุทธรูปนั่งกลางสายฝน หรือเหงื่อออกภายใต้ดวงอาทิตย์ หรือเพียงแค่เพลิดเพลินไปกับฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น เมื่อใดก็ตามที่คุณมาเยี่ยมชม การแสดงออกทางใบหน้าของพระพุทธรูปจะสัมผัสหัวใจของคุณ คามาคุระ ไดบุซึได้รับการอนุรักษ์ไว้ ไม่มีการบูรณะตั้งแต่พระพุทธรูปถูกสร้างขึ้น ในขณะที่บริเวณรอบๆ ได้มีการสร้างขึ้นใหม่
ประวัติศาสตร์
เริ่มต้นที่ศตวรรษที่ 13 รัฐบาลโชกุนคะมะกุระเริ่มครอบครองเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในขณะนั้นพุทธศาสนาแพร่หลายมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างวัดขึ้นที่ทางเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกของเมืองคามาคุระ เพื่อให้พุทธศาสนาคุ้มครอง ต่อมาพวกเขาต้องการสร้างสัญลักษณ์ของเมืองหลวงใหม่ และนั่นก็คือ พระพุทธรูปไดบุซึ
จากบันทึกเก่าแก่ของ รัฐบาลโชกุนคะมะกุระ ‘อะซุมะ คะกะมิ’ (Azuma Kagami) การก่อสร้างพระพุทธรูปไดบุซึองค์แรก เริ่มขึ้นในปี 1238 และพิธีเฉลิมฉลองการสร้างเสร็จมีขึ้นในปี 1243 เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นจากไม้ แต่ในปี 1252 การหล่อพระพุทธรูปไดบุซึองค์ที่สองได้มีขึ้น นั่นหมายความว่าพระพุทธรูปไดบุซึองค์ที่สองอายุเกือบ 760 ปี!
รายละเอียดเกี่ยวกับก่อสร้าง
ตอนนี้ฉันจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระพุทธรูปไดบุซึ คุณเห็นชิ้นส่วนของแผ่นทองที่แก้มขวาของพระพุทธรูปไดบุซึหรือไม่? เดิมทีพระพุทธรูปองค์นี้ปิดทองทั่วทั้งองค์ พระพุทธรูปไดบุซึที่นาราทำจากทองแดง แล้วชุบทอง แต่พระพุทธรูปไดบุซึของคามาคุระทำจากบรอนซ์ (ทองแดง 68.7% ดีบุก 9.3% และตะกั่ว 19.6%) ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะชุบทองโดยใช้เทคนิคของยุคนั้น แต่พวกเขาปิดทองบนพระพุทธรูปแทน
รายละเอียดเกี่ยวกับตา ความยาวระหว่างมุมด้านในและด้านนอกของตามีขนาดประมาณหนึ่งเมตร หูมีขนาดสูง 1.95 เมตร และมีรูต่างหูขนาดใหญ่ (พระสิทธารถได้เจาะหูก่อนที่พระองค์จะออกบวช) และคุณสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูกขององค์พระพุทธรูป ใช่แล้วพระพุทธรูปไดบุซึ มีหนวด!
พระพุทธรูปไดบุซึสูง 11.387 เมตร สร้างขึ้นทีละขั้นตอน โดยการเทโลหะถึงสิบครั้ง เริ่มเทจากด้านล่างไปเรื่อยๆ จนถึงส่วนเศียรของพระพุทธรูป คุณสามารถเห็นรอยต่อของการเทแต่ละครั้ง เหมือนกับงานผ้าต่อไปทั่วพระกายของพระพุทธรูป (คล้ายวงแหวนของต้นไม้) มีรอยเชื่อมต่อมากมายภายในองค์พระพุทธรูป ที่เชื่อมต่อชิ้นบรอนซ์ให้เข้ากันอย่างหนาแน่น
นอกจากนี้คุณยังอาจสังเกตเห็น หินหลายๆ ก้อนกระจัดกระจายอยู่รอบพระพุทธรูป พื้นผิวของหินเหล่านี้แบนราบ พวกเขาสันนิฐานกันว่า อาจจะเป็นหินรากฐานของอาคารซึ่งเคยเป็นวิหารที่สร้างครอบองค์พระพุทธรูปไดบุซึ วิหารได้ถูกทำลายและสร้างขึ้นใหม่หลายๆ ครั้ง แล้วในที่สุดก็พวกเขาตัดสินใจให้องค์พระประทับอยู่กลางแจ้ง ภายใต้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
จากบันทึกเกี่ยวกับพระพุทธรูปไดบุซึได้มีการบูรณะในปี 1335 (ไทเฮะกิ) และในปี 1369 (คามาคุระ ได-นิกกิ) และในหนังสือไบกะ มุจิงโซะ (Baika Mujinzo) ได้กล่าวว่าเอาไว้ว่าพระพุทธรูปไดบุซึไม่มีวิหารครอบตั้งแต่ปี 1486 ดังนั้นนักวิชาการส่วนใหญ่จึงสันนิษฐานกันว่า วิหารครอบองค์พระพุทธรูปไดบุซึ ได้ถูกทำลายตั้งแต่ปี 1369 แต่บางคนเชื่อกันว่าคลื่นสึนามิในปี 1498 ได้ทำลายวิหารครอบองค์พระพุทธรูปไดบุซึ แต่ก็ไม่มีหลักฐาน จากการขุดวิจัยในปี 2000 แสดงให้เห็นว่าไม่มีการสร้างอาคารใด ๆ หลังจากปี 1369
เรื่องราวของพระพุทธรูปไดบุซึในปัจจุบัน
นี่เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ เมื่อ 40 ปีมาแล้ว ครอบครัวหนึ่งมาจากสหรัฐอเมริกา มาที่คามาคุระ เพื่อชมพระพุทธรูปไดบุซึ ในขณะนั้นเด็กคนหนึ่งของครอบครัวไม่ชื่นชมกับพระพุทธรูปเท่าที่ควร แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะชื่นชมพระพุทธรูปอย่างลึกซึ้งก็ตาม สิ่งเดียวที่เด็กคนนั้นสนใจคือไอศครีมชาเขียวที่ขายในบริเวณใกล้เคียง หลายปีต่อมา มีการประชุมเอเปคที่จัดขึ้นในโยโกฮามาในปี 2010 ผู้แทนจากทุกประเทศทั่วโลกได้มาที่คะนะกะวะ และหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง หนึ่งในผู้แทนของโลกนั้นกระตือรือร้นที่จะเข้าชมพระพุทธรูปไดบุซึ เขาอยากจะเห็นพระพุทธรูปไดบุซึอีกครั้ง และสัมผัสพระพุทธรูปไดบุซึจริงๆ เป็นครั้งแรก เขาคือเด็กคนนั้นที่เคยมาเยี่ยมชมพระพุทธรูปไดบุซึกับครอบครัว เมื่อ 40 ปีที่แล้ว และอร่อยไปกับไอศครีม ชื่อของเขาก็คือ คุณอาจจะเดาได้ว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา
ฉันคิดว่าเสน่ห์ของพระพุทธรูปไดบุซึที่คามาคุระ อยู่ที่การแสดงออกของสีพระพักต์ สีของพื้นผิวพระพุทธรูป และสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดในหลายๆศตวรรษ แต่พระพุทธรูปไดบุซึ ได้แสดงให้เราเห็นถึงความล้ำลึกของสีพระพักต์อย่างต่อเนื่อง
อนึ่ง ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมวันเบาหวานโลก ทางวัดจะมีแสงไฟสีฟ้าฉายส่ององค์พระพุทธรูปไดบุซึ โปรดดูรายละเอียดได้ที่นี่
ถัดมา กรุณาอ่านเกี่ยวกับวิธีการหล่อพระพุทธรูปไดบุซึ และอะไรที่ปรากฏบนสีพระพักต์ของพระพุทธรูปไดบุซึ ในบทความสองบทความต่อไป
ชุดบทความของพระพุทธรูปไดบุซึ
พระพุทธรูปที่นั่งสมาธิกลางแจ้งมาเป็นเวลากว่า 500 ปี
วิธีการหล่อพระพุทธรูปไดบุซึ
You can reach Daibustu in three ways, by the Enoden (tram), by bus, and by foot. If you choose the Eno-den, please get off at Hase Station. After passing through the ticket gate, turn right and walk for 7 minutes. If you take a bus, the bus will leave from an East gate terminal (#1 or #6). Pay when you get off at the front of the bus. The fare will be 190 yen. Get off at the “Daibutsu-mae” stop, the one after Hase Kannon. This bus stop is a bit tricky. After you get off the bus, walk back in the direction your bus just came from, and cross the street at the signal. The entrance to Daibutsu is on the left. If you get there in the afternoon, you’ll be fine—just follow the crowds. But if you are an early bird, and no one is there in the morning, it might be confusing. Finally, if you follow a map, walking to Daibutsu is quite easy. You can enjoy a nice stroll. The back streets of Kamakura are beautiful!
พระพุทธรูปไดบุซึใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ หนึ่งในพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นที่นิยมและรักมากที่สุดในญี่ปุ่น และแน่นอนในโลก
วัด Koutokuin แห่งคามาคุระ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศญี่ปุ่น
หลวงพ่อโตแห่งเมืองคามาคุระเป็นสัญลักษณ์และเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวคามาคุระ และในตอนนี้ก็เป็นที่รักของคนทั่วโลก
หากคุณมาเยี่ยมชมคามาคุระ (ซึ่งต้องห้ามพลาด) อย่าพลาดชมพระพุทธรูปไดบุตซึต หรือหลวงพ่อโตแห่งคามาคุระ
ในบทความที่สองนี้เราจะมาดูลักษณะทางกายภาพอันโดดเด่นของไดบัตสุว่าแต่ละอย่างมีความหมายอะไรบ้าง
ไทเซน-คาคุเป้นโรงเตี๊ยมอายุ 100 ปี และอยุ่ติด ๆ กับวัดฮาเสะ คันนอนเลย บริการของที่นี่จะเป็นประสบการณ์อันน่าประทับใจของคุณที่คามาคูระ
ทานอาหารกลางวันที่ The Scapes ลิ้มลองสลัดผัก สเต็กเนื้อนุ่ม และของหวานอร่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศและทัศนียภาพอันงดงาม
ถ้าคุณมาที่ฮานามะ โฮเต็ล โอโตว่า โนะ โมริ วิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะใช้เวลาอาจจะเป็นการที่ไม่ทำอะไรเลย แค่พักผ่อนอย่างเดียว ที่นี่คุณสามารถหาบรรยากาศของรีสอร์ทอย่างแท้จริงได้!
ใช้ผลิตภัณฑ์ปลอดจากสัตว์ ข้าวกล้อง และผักสดที่มาจากท้องถิ่น ที่คิ-โทะ-โทะคิ รังสรรค์อาหารมังสวิรัติชั้นเยี่ยมที่ไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังดูเพลินอีกด้วย มาลองชุดอาหารและเครื่องดื่มหมัก 17 ชนิดพร้อมของหวานและชาสมุนไพร หรือกาแฟหลังอาหารกันเถอะ
ค้นพบรสชาติที่ชาวบ้านคามาคุระหลงใหล ใหม่เค้กสปันจ์คัสตาร์ดเนื้อนุ่มของเยอรมันเป็นของหวานที่จะสร้างความประทับใจอย่างแน่นอน รสคัสตาร์ดคาราเมลเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยว
ลิ้มรสหมูทอดที่มีชื่อเสียงของอะราทามา และคุณจะตกหลุมรักกับรสชาติอันสดใหม่ ที่นี่ไม่ได้มีเพียงเมนูทงคัตสึเท่านั้น อย่าลืมลิ้มลองอาหารเมนูอื่นๆ ของอะราทามา เช่น มอซซาเรลลา เมนชิ คัตสึ และครีม โคร็อกเกะ
Kamakura’s Hasedera Temple, a sister temple to Nara’s temple of the same name, is renowned for its 11-headed statue of Kannon, the goddess of mercy. This Jodo-sect Buddhist temple is one of the oldest temples in the city and has roots in the eighth century. Legend has it that the monk Tokudo Shonin requested two Kannon statues to be made from a camphor tree in 721. The smaller statue was enshrined at Nara’s temple, while the other one was thrown into the sea as an offering. In 736, the statue washed ashore in Kamakura, and Hasedera was built to enshrine it. Hasedera’s grounds feature a harmonious display of traditionally designed temple buildings interwoven with lush nature and seasonal flowers, making for a peaceful stroll. Thanks to its elevated position, it also offers wonderful views of Kamakura’s townscape and Sagami Bay. The temple’s artfully crafted nature is on full display when you first enter the grounds. The welcoming garden features a pond encircled by plants, the small Benten-do Hall, dedicated to the goddess of music and wisdom, and Benten-kutsu Cave, which contains carved statues of deistic Buddhist figures. If you are hungry, refuel at the temple’s Teraya Cafe, located just before the entrance, or Kaikoan, which is built at an elevated level and boasts large windows with fantastic views of the area. Admission to the temple costs 400 yen for adults and 200 yen for children (ages 6 to 11). Parking costs 350 yen for 30 minutes.
Sasuke Inari Shrine is a Shinto shrine in Kamakura and the site of the Hidden Village of Kamakura. It is located very near the Zeniarai Benzaiten Ugafuku Shrine. [Wikipedia]
Zeniarai Benzaiten Ugafuku Shrine, popularly known simply as Zeniarai Benten, is a Shinto shrine in Kamakura, Kanagawa, Kanagawa prefecture, Japan. In spite of its small size, it is the second most popular spot in Kamakura, Kanagawa prefecture after Tsurugaoka Hachiman-gū. [Wikipedia]