ยามากาตะขึ้นชื่อเรื่องเชอร์รี่อยู่แล้ว เจ้าผลไม้สีแดงลูกเล็กๆถือเป็นสัญลักษณ์ประจำพื้นที่เกษตรกรรมทางภาคเหนือเลยก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงมุ่งหน้ามาที่นี่ ดินแดนแห่งเชอร์รี่หรือ Cherryland นั่นเอง
พวกเราเดินทางมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัยท่ามกลางฝนตกปรอยๆ เรารอฝนหยุด ณ ร้านขายของแห่งหนึ่ง โชคดีที่ร้านนี้มีเชอร์รี่ที่ถูกเก็บมาตอนจะหมดฤดูให้ได้ลิ้มลอง คนขายบอกเราเรื่องฤดูกาลที่ดีที่สุดในการเก็บเชอร์รี่และผลไม้อื่นๆ
ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเก็บเชอร์รี่ พอเข้าปลายเดือนกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม จะเหมาะกับการเก็บลูกพลัม เดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายนเป็นเดือนเก็บลูกพีช เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคนเอาไว้เก็บองุ่น แอปเปิ้ลจะเก็บกันเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ลูกแพรจะเก็บเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม สุดท้าย คือ ลูกแพรญี่ปุ่นหรือนาชิ จะเก็บช่วงกลางเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม
พอฝนหยุด พวกเราก็ไปเดินเล่นกันที่สวนผลไม้ ช่วงนี้เป็นหน้าของลูกพลัมและลูกพีช คุณโอซาวะ คนปลูกเจ้าผลไม้พวกนี้อธิบายถึงขั้นตอนการปลูก การคัดเลือกลูกพลัมที่ดีที่สุด พร้อมโชว์ตัวอย่างลักษณะของลูกพลัมที่ดีให้ดูด้วย! โดยส่วนตัว ฉันชอบเกกกุพลัมหรือแปลว่า แสงจันทร์ เป็นพิเศษเพราะชื่อมันฟังดูสุดแสนจะโรแมนติก ลูกพลัมชนิดนี้หวานกว่าลูกพลัมปกติและที่สำคัญ มันอร่อยมากๆเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ พวกเราได้ลองชิมลูกพีชแสนอร่อยที่พาลทำให้ตาหยีเพราะความเปรี้ยวของมันอีกด้วย
ที่เชอร์รี่แลนด์แห่งนี้ ผู้มาเยี่ยมชมสามารถหยิบผลไม้กินได้จากต้นเลย สำหรับเชอร์รี่ราคาอยู่ที่ 1500 เยนต่อ 30 นาที ส่วนการเก็บลูกพลัมราคาอยู่ที่ 1500 เยน สามารถเก็บเท่าไหร่ก็ได้ องุ่นราคา 700 เยน แอปเปิ้ลและลูกแพรญี่ปุ่นราคา 500 เยน ส่วนลูกแพรตะวันตก ราคา 1000 เยน หากต้องการซื้อผลไม้สดกลับบ้าน ก็มีขายเช่นกัน ราคาคิดตามน้ำหนักเลย
ถ้าคุณไม่สะดวกเดินทางมาด้วยตัวเอง เชอร์รี่แลนด์ก็มีบริการจัดส่งผลไม้ให้คุณถึงบ้าน
การมาที่นี่ไม่ต้องจองล่วงหน้า แต่ฉันแนะนำให้คุณลองเช็คฤดูกาลเก็บ รวมถึงสภาพอากาศให้ดีก่อน ที่ควรระวังอีกอย่างคือ มันมีไร่แบบนี้แถมชื่อเหมือนๆกันอยู่บริเวณนั้นเต็มไปหมด ถ้ากลัวหลงทาง คุณสามารถให้เขาช่วยบอกทางได้เช่นกันค่ะ
ใครอยากมาลองเก็บผลไม้สดๆจากต้นให้ได้กินอย่างหนำใจ ลองมาที่เชอร์รี่แลนด์แห่งนี้ดูนะคะ