ถ้าใครแวะมาเที่ยวฟุกุโอกะ แล้วไม่ได้มาเมืองดาไซฟุ ก็คงจะเสียเที่ยว เพราะที่นี่ที่เดียวมีแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญหลากหลาย เรียกว่าเดินเพลิน ๆ ได้ทั้งวัน
เมืองดาไซฟุซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ชานเมืองของจังหวัดฟุกุโอกะ มีประวัติย่อ ๆ ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองของเกาะคิวชูนานกว่า 500 ปี (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 663) มีท่าเรือไว้สำหรับติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ฉะนั้นเมื่อก่อนดาไซฟุจึงเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นทั้งในแง่ของการผูกสัมพันธไมตรีทางการทูตและการป้องกันประเทศ
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองดาไซฟุที่ผู้เขียนได้ไปเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ ได้แก่
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชู (KYUSHU NATIONAL MUSEUM) เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลำดับที่ 4 ของญี่ปุ่น ที่นี่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุสำคัญ ๆ ของญี่ปุ่นและเอเชียในยุคต่าง ๆ เอาไว้หลายชิ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียผ่านช่วงประวัติศาสตร์หลายยุคสมัย การออกแบบพื้นที่ แสงเงา และบรรยากาศของพิพิธภัณฑ์ รวมไปถึงการเรียนรู้แบบอินเตอร์แอคทีฟภายใต้แนวคิด Living Museum สร้างประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี
โซนหนึ่งที่ผู้เขียนประทับใจมาก ได้แก่ ห้อง e-Heritage ซึ่งมีเกม virtual reality ให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสนุก มีแว่น 3 มิติให้เราใส่เพื่อค้นหาลวดลายจิตรกรรมฝาผนังในถ้ำ
เมื่อเดินออกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว ทางขวามือจะมีอุโมงค์ทางลงไปศาลเจ้าดาไซฟุ ทางเลื่อนยาวและยวบ แถมด้วยแสงสีวูบวาบ ช่วยเนรมิตให้การเดินทางมีสีสัน สำหรับผู้เขียน ความน่าประทับใจอยู่ตรงที่พอก้าวเท้าออกจากจากอุโมงค์ที่ดูล้ำยุคเหมือนในหนังไซไฟนี้แล้ว เราก็จะเจอกับศาลเจ้าและสวนแบบโบราณ เหมือนหลุดมาจากคนละยุคคนละสมัยยังไงยังงั้นเลย (ญี่ปุ่นนี่ ในแง่ของการผสมผสานอดีต&อนาคตนี่ เขาเซียนจริง ๆ ครับ)
ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังกุ (DAZAIFU TENMANGU SHRINE) ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดจากบรรดาศาลเทนมังกุทั่วญี่ปุ่นนับร้อยแห่ง ที่นี่เป็นที่ประทับของดวงวิญญาณท่าน สึกาวาระ มิชิซาเนะ ปราชญ์คนสำคัญในยุคเฮอัน ที่ปัจจุบันถูกเชิดชูให้เป็นเทพแห่งการศึกษา ฉะนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ก็เลยเป็นที่ที่นักเรียนนักศึกษานิยมมาขอพรกัน จะได้เรียนเก่ง สอบผ่าน หรือเอ็นท์ติด เพื่อนผู้เขียนเล่าว่า “ถ้าลูบหัวรูปปั้นวัวแล้วจะทำให้เราหัวดี”
ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผู้เขียนไปดาไซฟุ ดอกบ๊วยที่ศาลเจ้าเริ่มเบ่งบาน ออกดอกเป็นสีขาวและชมพูสวยสดงดงาม ดอกบ๊วยถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองดาไซฟุ มันเป็นดอกไม้ที่ท่านมิชิซาเนะโปรดปราน ท่านได้แต่งบทกวีชื่นชมความงามของดอกบ๊วยเอาไว้หลายบท นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานว่าระหว่างที่ท่านถูกเนรเทศออกจากนครเกียวโต กลีบดอกบ๊วยได้ลอยละลิ่วตามท่านมาตลอดทางจนถึงเมืองดาไซฟุ (บ้างว่าที่จริงแล้วท่านมิชิซาเนะหรือสหายของท่านได้นำเมล็ดมาหว่านลงในผืนดินของดาไซฟุต่างหาก)
ถนนคนเดินดาไซฟุ ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าดาไซฟุ เมื่อเดินผ่านเสาหินโทริอิไป ท่านจะเจอกับถนนคนเดินที่มุ่งตรงไปสู่สถานีรถไฟดาไซฟุ ที่นี่มีร้านรวงอยู่มากมาย เรียกได้ว่าเลือกกิน เลือกซื้อไม่ถูกกันเลยงานนี้ (ผมว่านี่มันถนนละลายทรัพย์ชัด ๆ เลย ฮ่า ๆ ๆ) ที่นี่มีของฝากคิวชูแทบทุกอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเมนไทโกะเอย ฮิโยโกะเอย และอีกมากมาย ผมนี้หิ้วของกลับมาพะรุงพะรัง ช็อปเพลินเกินห้ามใจจริง ๆ
ขนมขึ้นชื่อของที่นี่คือ “อุเมะกาเอะ โมจิ” (Umegae Mochi) ขนมโมจิปิ้งไส้ถั่วแดง กรอบนอกนุ่มใน นั่งกินโมจิทำสด ๆ จากเตาไปพลาง พร้อมกับจิบชาเขียวรสเลิศไปพลาง ถือเป็นการพักเหนื่อยที่สุนทรีย์ดีจริง ๆ เชียว