ดาไซฟุ เป็นเมืองเล็กๆ สงบ ผู้คนใจดี มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ในตัวเอง มีที่เที่ยวหลายที่ แต่วันนี้ปลายทางของเราคือ ศาลเจ้าดาไซฟุ เมืองดาไซฟุเป็นเมืองที่เดินทางไปสะดวก จากสนามบินไปที่สถานีรถไฟฟูกูโอกะ ซึ่งสายที่เราจะนั่งเข้าเมืองดาไซฟุคือ ฟูกูโอกะ ซับเวย์--เทนจิน>นิชิเทสสึ ดาไซฟุไลน์ คือ ใช้รถไฟใต้ดินจากสถานีฟุกุโอกะ มาลงที่สถานีรถไฟเทนจิน จากนั้นเลือกนั่งรถไฟธรรมดาสายนิชิเทสสึดาไซฟุไลน์ หรือจะเริ่มต้นจาก ฮากาตะ ก็ใช้เส้นทาง ฮากาตะซับเวย์--เทนจิน>นิชิเทสสึดาไซฟุไลน์ คือนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีรถไฟฮากาตะมาลงที่เทนจินต่อรถไฟธรรมดาสายนิชิเทสสึดาไซฟุไลน์แล้วก็ลงที่สถานีรถไฟดาไซฟุ ตลอดทางรถไฟสองข้างมีหิมะบางปกคลุมพื้นดินไปตลอดได้บรรยากาศหน้าหนาวจริงๆ ถึงสถานีดาไซฟุแล้ว หิมะบางส่วนละลายพื้นเปียกๆ ระวังลื่น ที่นีก็มีล้อคเกอร์หยอดเหรียญไว้บริการทั้งสะดวกและปลอดภัย ครั้งละประมาณ200-500 เยน ทางเข้าเป็นถนนเล็กๆทอดยาวถึงทางเข้าศาลเจ้ามีร้านค้าเต็มสองข้างทางน่าเดินเล่น อีกไม่เกิน 15นาทีก็จะถึงศาลเจ้าดาไซฟุ ถ้าไม่มัวชิมช้อปกันจนเพลิน ยิ่งถ้าใครชอบการ์ตูนแอนนิเมชั่นละก็ เตรียมสตางค์ไว้แยะๆ ขอบอกอดใจยากที่จะไม่พาพวกเขากลับบ้านด้วย หน้าหนาวที่นี่จะอุ่นกว่าเมืองอื่นๆในแถบทางเหนือ ถึงกระนั้นก็หนาวสำหรับเรา สิ่งที่แก้หนาวอย่างดีก็คือขนมโมจิย่างไส้ถั่วแดงร้อนๆในมือ กินพร้อมกับชาเขียวร้อนๆสักถ้วยเข้ากันได้ดีกับตัวแป้งที่กรอบนิดๆกับไส้ถั่วแดงกวนหวานๆ อร่อยอย่าบอกใคร ถ้าใครอยากได้กาแฟร้อนๆแทนชาก็มีร้านกาแฟสตาร์บัคเป็นตัวเลือก
ศาลเจ้าดาไซฟุ(Dazaifu Shrine) ยามมีหิมะปกคลุมเป็นภาพที่สวยงาม ชวนมอง และประทับใจ ก่อนเข้าถึงศาลเจ้าสิ่งที่ผู้คนไม่ผ่านเลยคือรูปปั้นเทพเจ้าวัวเราจะเห็นคนมายืนลูบหัว ลูบตัวท่านกันใหญ่ลูบกันจนเป็นสีทองมันวาวกันทีเดียว ยิ่งหนาวๆ รูปปั้นเย็นเจี๊ยบ ลูบกันเย็นมือทีเดียว เชื่อกันว่าการลูบรูปปั้นตามส่วนต่างๆ เราจะมีสุขภาพดีที่บริเวณนั้นๆไปด้วย ถ้าลูบตรงบริเวณหัวลูบเขาก็จะมีหัวดี เรียนเก่ง ฉลาด อะไรทำนองนั้น แล้วเราก็จะเดินข้ามสะพานสีแดงมีอยู่ 3 สะพาน เปรียบเหมือนการเดินผ่านอดีตไปปัจจุบัน และสู่อนาคตแห่งความสำเร็จภายภาคหน้า ข้างทางทิ้งหิมะบางๆไว้บนพื้นเป็นหย่อมๆ ทิ้งกันเป็นระยะๆ บางที่ก็ถูกเก็บกวาด บางที่ก็มีคนมาปั้นตุ๊กตาหิมะตัวจิ๋วทิ้งไว้ให้ดูเล่น ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศฤดูหนาวมากขึ้น เดินต่อไปก็จะเจอทางเข้าเป็นประตูใหญ่สีแดงมองทะลุเข้าไปสีของประตูตัดกับสีขาวของหิมะบนหลังคาของศาลเจ้า บางคนก็ขอพรและอธิษฐานอยู่ด้านนอก ด้านในศาลเจ้านี้มีการประกอบพิธีขอพรตามแบบฉบับญี่ปุ่น น่าสนใจทีเดียว ก่อนอื่นเราเข้าไปแจ้งความจำนงค์ว่าจะขอให้ทางศาสเจ้าฯทำพิธีให้ ซึ่งต้องทำบุญกับวัดประมาณ 5,000 เยนต่อคน บางคนทำกันทั้งครอบครัว เขียนชื่อที่อยู่ พรที่ต้องการ จากนั้นจะทำพิธีในศาลเจ้า ซึ่งเป็นศาลหลัก (ยังมีศาลย่อยๆ อีกหลายศาลทั้งด้านในและบนเขาเยื้องหน้าศาลเทพเจ้าสุนัขจิ้งจอกมีร้านขนมโมจิย่างแสนอร่อยกินไปชมวิวไปดีจริงๆ) พิธีนี้จะรอคนสักจำนวนหนึ่งแล้วขึ้นทำพิธีพร้อมกัน จากนั้นผู้เข้าพิธีก็จะนั่งคุกเข่าราบเรียงหน้ากระดาน พิธีนี้นักบวชจะเป็นผู้ทำให้จะมีการอ่านชื่อ นำกิ่งไม้ศักดิ์สิทธิ์ไปวางที่โต๊ะบูชา และสวดมนต์ให้ ก่อนกลับนักบวชจะมอบถุงกระดาษจะมีเหล้าสาเกหนึ่งขวดพร้อมจานดื่ม เครื่องรางไว้บูชาที่บ้านและสำหรับนำติดตัว นักบวชจะแนะนำแก่เราว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นอันว่าเสร็จพิธี