หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขาที่สวยเหมือนอยู่ในนิทาน หมู่บ้านที่มีเพียงไม่ถึง200หลังแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนคนต่อปี เสน่ห์ของที่นี่อยู่ตรงไหนกันนะ? เพราะบ้านแบบกัสโซเหรอ? เพราะสวยเหมือนภาพวาดเหรอ? หรือเพราะขึ้นทะเบียนกับUNESCOในฐานะมรดกโลกด้านวัฒนะธรรม? อย่างไรก็ตามสำหรับฉันแล้ว เสน่ห์ของหมู่บ้านนี้คือเวลาที่บ้านทุกหลังสวมหมวกสีขาวนี่แหละ หลังคาบ้านทุกหลังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ถนนเส้นเล็กๆในเมืองที่กลายเป็นสีขาว ยิ่งรวมกับภูเขาและป่าสนที่โอบล้อมเมืองไว้ยิ่งทำให้เหมือนหลุดมาจากหนังสือ เพราะอยากเห็นภาพแบบนี้ ฉันเลยเลือกไปShirakawagoในฤดูหนาว
พูดตามตรงการเดินทางไปShirakawagoถึงจะไม่ลำบากแต่ก็ไม่รวดเร็วซักเท่าไหร่ เพราะเข้าได้เฉพาะทางรถเท่านั้น นักท่องเที่ยวส่วนมากขึ้นรถบัสมาจาก2ทางคือเมือง Takayamaหรือไม่ก็ Kanazawa การมาจากเมืองหนึ่งแล้วกลับไปยังอีกเมืองหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องจองรถบัสล่วงหน้า ที่Tourist information Center ของที่นี่มีจุดรับฝากกระเป๋าเลยไม่ต้องเป็นห่วงถ้าคิดจะเที่ยวที่นี่แล้วต่อรถไปอีกเมือง
ทางเข้าหมู่บ้านสำหรับนักท่องเที่ยวคือเดินข้ามสะพานแขวนเดะไอที่สร้างข้ามแม่น้ำโชกาว่า การเดินข้ามสะพานแขวนเข้าหมู่บ้านก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่ หลังจากได้ขึ้นทะเบียนเป็นWorld HeritageจากUNESCOในปี1995 บ้านหลายหลังได้เปลี่ยนเป็นร้านขายของที่ระลึก เปิดให้เข้าชม หรือเปิดเป็นบ้านพักแบบ Home Stay ในช่วงสุดสัปดาห์ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะมีการเปิดไฟLight-upเมืองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย
เมืองShrakawaจัดเป็นเมืองที่มีหิมะตกหนาที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น สภาพอากาศอย่างนี้เองที่เป็นที่มาของบ้านแบบกัสโซ (Gassgo-Zukuri) ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของหมู่บ้านShirakawago กัสโซมากจากคำว่าพนมมือหรือก็คือเอาหลังคามาชนกันนั่นเอง จุดเด่นอยู่ที่หลังคาซึ่งทำจากฟางทำมุมกัน60องศา สร้างโดยไม่ใช่ตะปูแต่ใช้ไม้ขัดกันและใช้เชือกมัดให้แน่นแทน หลังคาที่ทั้งใหญ่ ยาว และหนานี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักของหิมะจำนวนมหาศาลที่ตกในฤดูหนาว ว่ากันว่าบ้านหลังใหญ่สามารถรับน้ำหนักถึง500กิโลเลยทีเดียว
ไฮไลท์อีกอย่างของหมู่บ้านแห่งนี้คือจุดชมวิวจากบนเนินเขา หากมองจากมุมนี้จะเห็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านในมุมที่สวยที่สุด ถ้ามาShirakawagoแล้วไม่ได้ขึ้นมาดูแทบจะเรียกได้ว่ามาไม่ถึงShirakawagoกันเลยทีเดียว การขึ้นไปยังจุดชมวิวสามารถขึ้นได้2วิธีคือเดิน(ใช้เวลา20-30นาที) หรือขึ้นรถบัสจากกลางหมู่บ้าน(เที่ยวละ200เยน)
ถึงจะคิดว่าที่นี่สวยที่สุดในฤดูหนาว แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะกลับไปหมู่บ้านนี้อีกครั้งในฤดูที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ฤดูร้อนที่ภูเขาเขียวขจี หรือฤดูใบไม่เปลี่ยนสีที่มีบรรยากาศแสนอบอุ่น