ฮาโกดาเตะ เป็นเมืองท่าที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศในสมัยก่อนหลังจากปิดประเทศมายาวนานถึง 250 ปี และในปี 1854 นี้เองที่ญี่ปุ่นได้เริ่มเปิดประเทศ และทำการค้าขายกับต่างชาติ โดยฮาโกดาเตะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองแรกที่เริ่มทำการติดต่อกับต่างประเทศ ซึ่งฮาโกดาเตะคือ 1 ใน 5 เมืองท่าสำหรับค้าขายกับต่างชาติ และวัฒนธรรมตะวันตกก็มีอิทธิพลในญี่ปุ่นผ่านทางเมืองนี้เช่นกัน
ไม่ใช่แค่ยุโรปที่เข้ามามีสัมพันธ์ทางการค้ากับญี่ปุ่น แต่รวมถึงจีน รัสเซีย ฯลฯ ที่ได้เผยแพร่วัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งสามารถเห็นได้จากสถาปัตยกรรมในย่านโมโตมาจิที่ฮาโกดาเตะแห่งนี้ นอกจากนี้แล้ว ยังมีวัฒนธรรมญี่ปุ่น เช่นวัดที่งดงามสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ด้วย ย่านนี้ได้รับการขนามนามว่าเป็น ซานฟรานซิสโกแห่งญี่ปุ่น เพราะด้วยความเป็นยุโรปที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ฮาโกดาเตะเป็นอีกเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องวัฒนธรรมต่างชาติในอดีต ที่หลงเหลือมายังปัจจุบัน และแทบจะไม่มีที่อื่นในญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมยุโรปมากเท่าย่านนี้อีกแล้ว
สถาปัตยกรรมที่ถือว่าโดดเด่น และมีชื่อเสียงที่สุดในย่านโมโตมาจินี้คือ Old Public Hall of Hakodate Ward (旧函館区公民館)ที่เป็นอาหารไม้สไตล์โคโลเนียน มีสีทองล้อมกรอบอาคาร ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไว้ต้อนรับแขกจากต่างประเทศ มีความหรูหรา เอกลักษณ์เฉพาะตัว ข้างในยังมีกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเฉพาะช่วงเวลาตามกำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมี Roman Catholic Church ที่ได้รับเป็นของขวัญจาก Pope Benedict XV, Russian Orthodox Church Former British Consulate (旧イギリス領事館), Perry's Square (ペリー広場), Motomach Park (元町公園)ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามานี้หาได้ยากในญี่ปุ่น แต่ละสถานที่เก็บค่าเข้าชมในราคาตั้งแต่ 200 - 300 เยน และที่สำคัญ ขาดไม่ได้กับย่าน "มินะโตะกาโอกะ" (Minatogaoka) ที่มีชื่อเล่น ถนนไอศกรีม ที่ทำจากนมสดฮอกไกโดยเฉพาะ ซึ่งมีรสให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เมล่อน ชาเขียว หรือกระทั่งรสหมึก!
การเดินทาง: นั่งรถรางจาก JR Hakodate ป้าย 2 หรือ 5 มายัง Suehiro-cho หรือ Jujigai ราคา 200 เยน