ชินยะ นาคามูระ นับเป็นผู้ที่โดดเด่นในฐานะผู้นำด้านปฏิมากรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น เป็นผู้ที่ได้รับรางวัลด้านวัฒนธรรมของญี่ปุ่น งานของเขาเป็นที่รู้จักดีในเรื่องงานด้านจิตวิญญาณ รวมถึงงานงาน "Ten Disciples of Biddha Shaka" ที่วัด ยากุชิจิ เมืองนาระ และงาน " Vatican's Miserere Mei" งานบางส่วนของเขาคือบรรดารูปปั้นที่เป็นที่รู้จักกันดีในเมือง คาโกชิม่า ดังนั้นจึงถูกต้องแล้วที่เมืองนี้จะสร้างพิพิธภัณฑ์อุทิศให้แก่เขา
พิพิธภัณฑ์ตั้งถัดจากสตูดิโอ ออกนอกเมืองไปทางเหนือบนถนนสายเล็กๆอันเงียบสงบในย่านชุมชน อยู่ระหว่างร้านขายสุรา Lawson's กับร้าน Akebono หากคุณไม่มีรถมาเอง ทางที่ง่ายที่สุดคือ นั่งรถไฟมาลงสถานี Kamiijuin แล้วเดินต่ออีกราว 20 นาที หรือหากต้องการเร็วก็เรียกแท็กซี่ ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์นั้น แทบดูไม่ออกเลยครับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ มีงานปฏิมากรรมวางเป็นสัญลักษณ์อยู่สองสามชิ้น ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับอาคารสำนักงานเทศบาลหรืออะไรทำนองนั้นเลย แต่เดี๋ยวก่อน...
ข้างนอกดูธรรมดา แต่เมื่อคุณก้าวเข้ามาข้างใน มันราวกับว่าคุณได้ก้าวเข้ามาในจิตอันวิปลาสของใครบางคน ในห้องแรกอันโดดเดี่ยวนั้นปรากฏนักยิงธนูร่างยักษ์กำลังเล็งไปที่ศรัตรูในจินตนาการที่อยู่ด้านหลังกำแพง ในขณะที่ใกล้ๆกัน ปรากฏอัศวินในชุดนักรบยืนคร่อมศรัตรูจากทางด้านหลังราวกับว่าจะทำให้คนนั้นพิการด้วยสากอย่างนั้นแหล่ะ และประตูไปสู่ห้องถัดไปก็เฝ้าด้วยราชาร่างยักษ์ผู้พิัทักษ์ประตูสองคน หากพวกเขาเหล่านั้นเกิดมีชีวิตขึ้นมาและกำลังเข็ดเขี้ยวกันอย่างนี้ล่ะก็ ผมว่าทั้งเสียงและพลังคงจะเหวี่ยงคุณกระเด็นออกนอกห้องไปเลยล่ะครับ
ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เกินความจริง เหมือนความฝัน ที่นี่เหมือนเป็นจุดหลอมรวมผู้มีฐานันดรศักดิ์,นักดนตรีชาวสวรรค์,นักมวยปล้ำ,พระสงฆ์ และรูปปั้นสามคนบนม้าศึกซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าต่างกำลังถาโถมเข้าใส่กันด้วยพละกำลัง, รถม้าและอาวุธ ทั้งมวลเท่าที่ทำได้ มันเกือบจะมากเกินความเข้าใจ มันเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในภาวะจิตใจอันปั่นป่วนของอัจฉริยะผู้บ้าคลั่ง เป็นดั่งความแตกต่างและมาตรฐานที่ขัดแย้ง
อย่างหนึ่งที่เด่นไปทุกที่ทั่วทั้งบริเวณก็คือใบหน้ามากมาย คุณนาคามูระ ใช้ความอุตสาหะในการสลักใบหน้าลงบนงานปั้นของเขา เพื่อต้องการให้ใบหน้านั้นสื่ออารมณ์และภาวะภายในของงานปั้นได้อย่างถูกต้องที่สุด จากนักรบผู้ดุดันสู่นักบวชในภาวนาสมาธิ นี่คือสิ่งที่ทำให้งานของเขามีเอกลักษณ์และน่าสนใจ
งานหลายๆชิ้นมีขนาดใหญ่มากจนต้องแบ่งปั้นออกเป็นหลายส่วน มันอาจจะทำลายความรื่นรมย์ในการดูไปนิดในแง่ของภาพรวม แต่ให้ความน่าสนใจในแง่การชมงานปฏิมากรรม ทั่วบริเวณแม้กระทั่งบันได้เดินขึ้นชั้นบน ก็ยังเต็มไปด้วยงานชิ้นเล็กชิ้นน้อย, รูปคนคลุมศรีษะสองคน,ศรีษะชาวซิกข์, ชาวนาสองคนในตาข่ายกับหมวกเบสบอลที่หงายขึ้น, คนเลี้ยงวัวโง่กำลังดึงหางวัว, งานทั้งหมดล้วนมีรายละเอียดที่ปราณีต
บนชั้นสาม เริ่มให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มนวลขึ้น ในห้องห้องหนึ่งมีแม่พิมพ์ตัวดั้งเดิมของงานชิ้น"สิบสาวก" ที่นาระ ยืนกรรมฐานอยู่รอบด้านของกำแพง ถัดไปเป็นแบบจำลองของ Miserere Mei และกระจกแก้วสี ที่ทำหน้าที่เป็นแบ็คไลท์ให้กับรูปปั้นชาวคริสต์ข้างใน
พิพิธภัณฑ์นาคามูระ อาจจะไม่ใช่ที่ที่เดินทางไปง่ายดายนัก แต่แน่นอนว่ามันคุ้มค่ากับความพยายามในการไป พิพิธภัณฑ์ที่อวลไปด้วยความขัดแย้งดุดัน,งานสลักแบบมืออาชีพและจินตนาการอันกล้าแกร่ง