ในการไปเยือนเมืองเกียวโตเพื่อชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิของฉัน นอกจากกระเป๋าเดินทางใบย่อมและกล้องถ่ายรูปคู่ใจแล้ว ฉันยังพกความหวังที่จะได้ชมดอกซากุระบานขึ้นเครื่องมาด้วย แต่เมื่อก้าวเท้าจากรถไฟลงเหยียบเมืองเกียวโต สิ่งที่ต้อนรับฉันอยู่ที่นั่น ไม่ใช่สีชมพูหวานของดอกซากุระ แต่เป็นสีคล้ำหม่นของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนสีเทา และสีน้ำตาลของกิ่งไม้แห้งๆ ที่ยืนต้นไร้ชีวิตชีวาอยู่สองข้างทาง
ฉันได้ยินเสียงอกหักดังเป๊าะของตนเอง
แต่ฉันยังใจสู้ วาดฝันอยู่ลึกๆ ว่าดอกซากุระคงไม่เล่นตัวกับคนที่หลงรักเธอ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาถึงขนาดนี้หรอก ฉันน่าจะได้เห็นดอกซากุระบานภายในบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองบ้าง บานให้ยลโฉมกันสักดอกสองดอกก็ยังดี
ฉันไปไหว้พระที่วัดคิโยมิสุเป็นที่แรก เห็นต้นดอกบ๊วยแดง (โคไบ) ออกดอกสีชมพูเข้มอยู่ที่ด้านขวามือของประตูวัดที่มีเทพนิโอะเฝ้าอยู่ ความจริงที่ด้านซ้ายของประตูวัดยังมีต้นดอกบ๊วยขาว (ฮาคุไบ) อยู่ด้วย แต่ตอนฉันไปดอกร่วงไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร แค่ดอกบ๊วยแดงก็มากพอ ดอกบ๊วยมีกลีบดอกซ้อนกันเป็นชั้นๆ มันบานแย้มแข่งกันทั้งต้นจนหาใบไม่เจอ แถมส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้หัวใจอันห่อเหี่ยวที่อกหักจากซากุระของฉันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ประวัติบอกว่าคนญี่ปุ่นนำเข้าต้นดอกบ๊วยแดงมาจากประเทศจีน ผู้ดีสมัยโบราณปลูกมันไว้ในสวน และปูเสื่อชมดอกบ๊วยกันในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อดอกของมันร่วงโรย เขาก็เอาผลของมันมาแปลงเป็นอาหารและยา แหม รูปสวยแถมจูบแล้วหอมอีก
ภายในวัดคิโยมิสุยังมีดอกไม้อีกพันธุ์หนึ่งคือดอกซึบากิ หรือยูกิซึบากิ กลีบมีสีแดงสด มีเกสรสีเหลืองเกาะกลุ่มกันเป็นกำ ลำต้นใหญ่โตบึกบึน แต่กลับออกดอกสวยหวานเป็นกอ เมื่อดอกบานมีหน้าตาคล้ายกับดอกป๊อปปี้ สัญลักษณ์ของวันทหารผ่านศึก เวลาดอกซึบากิร่วงหล่นลงพื้น ไม่ได้ค่อยๆ โรยลงไปทีละกลีบ (เหมือนกลีบดอกแก้วหรือดอกกุหลาบ) แต่จะร่วงทั้งขั้วดอก (เหมือนดอกพุธหรือดอกลีลาวดี) ว่ากันว่าซามูไรในสมัยเอโดะห้ามไม่ให้ปลูกต้นซึบากิเอาไว้ในบ้าน เพราะเมื่อพวกเขาเห็นดอกซึบากิร่วงเต็มลานบ้านทีไร จะนึกถึงหัวของคนร้ายที่เขาได้ลงมือฟันหลุดออกจากบ่า โถ ใครกันหนอช่างใจร้าย เปรียบเทียบดอกซึบากิแสนสวยกับหัวคนตายได้ลงคอ
ถึงเช้าวันแรกในเมืองเกียวโตของฉัน ยังไม่มีวี่แววของดอกซากุระบานให้เห็นแม้สักต้น แต่เพียงเดินชมวัดคิโยมิสุไม่เท่าไหร่ ฉันก็ได้ชมดอกไม้สวยๆ ถึงสองชนิดแล้ว การได้ยลโฉมดอกบ๊วยและดอกซึบากิทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่าประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีเพียงแค่ดอกซากุระ มีดอกไม้อีกมากมายหลายพันธุ์ที่แย้มบานรับฤดูใบไม้ผลิ แต่ละพันธุ์มีเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมและบอกเล่า “ความเป็นญี่ปุ่น” ได้ไม่น้อยกว่าดอกซากุระเลย
ถึงตอนนี้ ฉันไม่เสียใจที่ดอกซากุระเล่นตัวอีกแล้ว ฉันกลับสนุกมากขึ้น การเดินทางของฉันเพิ่งจะเริ่มต้น ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป ฉันจะได้ชมดอกไม้ชนิดไหนในเมืองเกียวโตอีกบ้าง จะได้เจอดอกไม้สีเหลืองหรือสีแปลกๆ ในวัดคิงคะกุจิ หรือวัดเรียวอังจิบ้างไหม?
ตื่นเต้นจัง
---
การเดินทางไปวัดคิโยมิสุที่ง่ายที่สุด
- จากสถานีรถไฟเกียวโตนั่งรถประจำทางสาย 100 หรือ 206 ลงที่ป้ายรถ Gojo-zaka หรือ Kiyomizu-michi ก็ได้ เดินขึ้นเนินตามฝูงชนไปเพลินๆ ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว