สวนมะกอกในอุชิมาโดะคือพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการโดยบริษัทนิปปอน โอลีฟ คอมพานี สวนแห่งนี้มีต้นมะกอกกว่า 10,000 ต้นที่ออกผลให้นิปปอน โอลีฟนำไปใช้ผลิตสินค้าซึ่มีตั้งแต่อาหารไปยันเครื่องสำอาง สวนมะกอกในอุชิมาโดะอาจไม่ได้เป็นสวนมะกอกแห่งเดียวในญี่ปุ่น แต่เป็นสวนที่มีบริษัทเดียวเป็นเจ้าของขนาดใหญ่ที่สุด
เรื่องราวความเป็นมาของสวนแห่งนี้ก็มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง จากความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 นิปปิน โอลีฟได้ถือกำเนิดขึ้น มีบริเวณหนึ่งของสวนที่เรียกว่าโรมัน ฮิลล์ซึ่งสะท้อนให้เห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน ในช่วงสงครามมีอาคารแบบคลาสสิคใหม่จำนวนมากที่ถูกทำลายลงระหว่างการโจมตีทางอากาศที่ญี่ปุ่นโดยฝ่ายสัมพันธมิตร การออกแบบแนวคลาสสิคใหม่มักจะถูกใช้กับธนาคารและสำนักงานต่าง ๆ ในญีปุ่น เศษซากจากการถูกทำลายล้างโดยระเบิดนั้นถูกนำไปยังสวนมะกอกเพื่อก่อเป็นซากหลังหายนะบนยอดเขาอุชิมาดดะอย่างมีจุดประสงค์ แกนเสาที่พังทลายลงเหล่านี้ซึ่งถูกนำมาจัดเรียงใหม่บนผืนหญ้าสะท้อนถึงการหมุนเวียนความหวังสู่อนาคตของญี่ปุ่น
สวนมะกอกมีวิลล่านานาชาติอุชิมาโดะและอาคารทรงฮันเซลกับเกรเทลที่คุณจะหลงรัก จุดศูนย์กลางของสวนจะเป็นร้านค้าและหอคอยซึ่งมองเห็นได้ง่ายจากถนนใหญ่ของอุชิมาโดะ ที่ชั้นแรกจะมีร้านค้าขายผลิตภัณฑ์มะกอกอย่างสบู่และเครื่องสำอาง สามารถซื้อต้นมะกอกของจริงได้ ราคาต่างกันตามขนาด ต้นที่มีผลด้วยจะแพงที่สุด ของพอเศษที่สวนมะกอกแห่งนี้คือไอศกรีมมะกอกซึ่งคุณสามารถทานได้จากจุดชมวิวพร้อมมองชมทะเลเซโตะไปด้วย แล้วทำไมถึงปลูกมะกอกในญี่ปุ่นล่ะ? เรื่องนี้ผมได้ยินมาว่าสภาพอากาศที่นี่คล้ายคลึงกับแถบเมดิเตอร์เรเนียนทำให้มะกอกปลุกขึ้นดี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการแสวงหากิจการที่จะมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ เหมือนเป็นโชคชะตาที่ชาวเมดิเตอร์เรเนียนเดินทางมายังญี่ปุ่น ไม่แน่ในอนาคตญี่ปุ่นอาจจะต้องไปยังเมดิเตอร์เรเนียนบ้างก็เป็นได้