ลงที่สถานี Meiji-jingumae c03 บนเส้นสีเขียวเข้ม Chiyoda line โดยความจริงที่ว่า อยากมาเห็นการแต่งตัวแบบหลุดโลก จึงเดินทางมาที่ฮาราจุกูแห่งนี้ แต่พอมาถึง โดยความที่รักในธรรมชาติ เสื่อมใสในพระพุทธศาสนา และอยากเรียนรู้ศาสนาพุทธในนิกายของชาวญี่ปุ่น จึงเลือกก้าวเท้าไปยังศาลเจ้าเมจิจินกุแห่งนี้
บริเวณทางเข้ามีโคมไฟแบบชินโตและประตูยักษ์ เมื่อก้าวข้ามประตูมาจะพบต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายรายล้อม หรือเรียกว่าป่ายังได้ อากาศที่เย็นขึ้นมาในทันที เสียงนก เสียงลมพัดผ่านใบไม้ ทำให้รู้สึกสงบและได้สัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างออกไปของเมืองโตเกียว (ทั้งที่ตอนลงที่สถานีรถไฟดูวุ่นวายมาก) ถูกใจคนรักธรรมชาติอย่างแน่นอน พอเดินเข้ามาเรื่อยๆจะพบกับถังสาเกมากมายเรียงรายรอให้ท่านได้โพสต์ท่าถ่ายรูป และถังไวน์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกหลายใบ เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆจะพบกับสวนที่เสียค่าเข้าชม เนื่องโดยเป็นทริปแบบประหยัดจึงขอผ่านและมุ่งมาจนมาถึงที่หมาย
ในส่วนแรกคุณจะต้องล้างมือแบบวัดญี่ปุ่น (หากคุณยังล้างไม่เป็นลองสังเกตคนข้างๆ นี่คงเรียกว่าครูพักลักจำเห็นจะได้) เมื่อเดินข้ามประตูมาคุณจะพบลักษณะสิ่งก่อสร้างแบบญี่ปุ่น หลังคากระเบื้อง ต้นไม้ยักษ์ที่มีเชือกขนาดยักษ์ผูกไว้ ในส่วนต่อมาคุณไม่ควรลืมที่จะทำบุญ โยนเหรียญ ดึงเชือกกระดิ่ง ไหว้พระขอพรแบบชาวญี่ปุ่น และยังมีหลายสิ่งที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นแผ่นไม้ที่สามารถเขียนขอพรและแขวนไว้ที่ใต้ต้นไม้ บรรดาเครื่องรางหลายสีที่มาพร้อมกับความหมายดีๆ เช่น สีม่วง หมายถึง สุขภาพที่ดี ว่าแล้วก็ซื้อเก้บไว้เป้นที่ระลึก และได้พบกับอีกหนึ่งความประทับใจคือ งานแต่งงานของชาวญี่ปุ่น ว่าแล้วก็เก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ เมื่อถึงเวลากลับพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง โคมไฟถูกเปิดขึ้น แสงสีส้มสว่างอ่อนๆเหมือนคำกล่าวลาให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย
