ยามาเดระแปลตรงตัวว่าวัดภูเขาและเป็นชื่อที่เหมาะสมกับสถานที่อย่างยิ่ง เพราะว่ามันเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างอยู่ด้านข้างภูเขา ชื่อทางการของวัดคือริซซัคคุจิ และมีอายุกว่าหนึ่งพันปีซึ่งมีบันไดหลายขั้นเชื่อมอาคารต่าง ๆ และนำทางขึ้นไปสู่ภูเขา
เราอยู่กันที่เซ็นได ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดและเป็นจุดตั้งต้นที่ดีในการเดินทางสู่ยามาเดระ เราขึ้นรถไฟด่วนเที่ยวเช้าจากสถานีเซ็นไดและชมวิวที่สวยงามของชนบทและภูเขาตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมง ข้างนอกอากาศดีและสดใส มีเมฆไม่มาก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออย่างน้อยเราก็คิดไว้แบบนั้น พอเราลงรถไฟที่สถานียามาเดระแล้วถึงค่อยรู้ว่าข้างนอกลมมันแรงสุด ๆ! แรงถึงขนาดที่เราต้องระวังไม่ให้ของที่ถืออยู่ปลิวไปและทำให้พูดกันลำบากทีเดียว!
ทางเข้าวัดตั้งอยู่ในระยะทางที่เดินได้จากสถานีรถไฟและเราดูเส้นทางจากแผนที่ขนาดใหญ่ใกล้สถานีเพื่อหาว่าจะไปยังไง จากแผนที่ดูเหมือนว่าจะมีบันไดสามช่วงที่นำขึ้นไปสู่วัด ตอนแรกเราคิดว่าจะขึ้นไปที่บันไดฝั่งตะวันตกริมสุดแต่เราหาไม่เจอเลยต้องกลับมาที่บันไดตรงกลาง พอเราเจอบันไดและเริ่มปีนขึ้นภูเขา ภูมิประเทศและต้นไม้ก็ช่วยบังลมที่พัดแรงเอาไว้ให้เรา
สิ่งที่มีขายอยู่ทั่ววัดคือทามะ-คอนซึ่งเป็นสารอาหารที่ทำจากผลของรากคอนจักปรุงในซอสถั่วเหลืองและเสิร์ฟแบบเสียบไม้ ซึ่งน่าจะช่วยเติมพลังให้ขึ้นไปถึงยอดเขาและปราศจากไขมัน ไม้เสียบที่วางแช่อยู่ในหม้อดำ ๆ ปนน้ำตาลทำให้ดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ เคท เพื่อนของผมที่พอเห็นว่ามันให้พลังงานต่ำ ก็กล้าซื้อมาลองและดูจะถูกปากจนกินหมดไม้ ผมลองชิมดูก็รู้สึกว่ารสชาติใช้ได้เลย แต่หน้าตาไม่ค่อยชวนกินเท่าไหร่
พอเราเติมพลังกันเสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินขึ้นบันไดไปสู่วัด สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกอึ้งก็คือเจอกับผู้สูงอายุจำนวนมากที่ปีนขึ้นมาบนภูเขาพร้อมกับไม้เท้าช่วยเดิน ทางเดินขาขึ้นนั้นวิวสวยมากและบริเวณวัดก็มีอาคารที่เก่าแก่และสำคัญทางวัฒนธรรมจำนวนมาก อีกทั้งประตูโบราณและรูปปั้นต่าง ๆ รูปปั้นหนึ่งที่เรารู้จักคือกวีบาโชชื่อดังซึ่งเคยมาที่วัดแห่งนี้เมื่อประมาณ 400 ปีที่แล้ว
ตอนขึ้นมาได้ครึ่งทางเราเจอเข้ากับหน้าผาที่เต็มไปด้วยเหรียญ 1 เยน บางเหรียญก็ติดไปบนพื้นหน้าผาอย่างหมิ่นเหม่ เหรียญ 1 เยนเป็นวัตถุที่นิยมใช้สำหรับทำบุญให้แก่ทางวัดและตอนที่ผมโยนเหรียญไปบ้างก็ชักสงสัยว่ามันมีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่และจะทำให้โรงกษาปณ์ของญี่ปุ่นเจอปัญหาหรือเปล่า ประมาณเก้าในสิบเอ็ดส่วนของระยะทางขึ้นจะมีทางต่างระดับพาไปยังจุดชมวิวสุดสวยที่มีทิวทัศน์แสนงดงามของวัด เมือง และชนบทที่อยู่โดยรอบ เพราะเป็นช่วงกลางฤดูใบไม่ร่วง ต้นไม้เริ่มจะมีสีแดงและส้มสดประจำฤดูกาล พอเราชมวิวเสร็จแล้วก็ไปต่อยังศาลาไดบัตสุเดนซึ่งมีองค์พระพุทธรูปอมิตาพุทธะขนาดใหญ่ซึ่งตังอยู่บนยอดสุดของวัดพอดี
ตอนขากลับเราเห็นเหมือนตะไคร่บางอย่างที่งอกออกมาจากหิน เว้นแต่มันกระดิกตัวได้ด้วย ปรากฏว่ามันเป็นแมลงประหลาดชนิดหนึ่งและแม้ค้าของวัดที่อยู่ใกล้ ๆ บอกว่ามันทำอย่างนั้นเพื่อสร้างความอบอุ่น!
หลังจากลงมาเสร็จแล้วก็ถึงเวลามื้อเที่ยงพอดีและเราก็ได้เจอกับร้านเทมปุระชั้นเยี่ยมที่มีวิวสวย ๆ ของแม่น้ำด้วย อาหารอร่อยมากและได้ผักทอดทั้งฟักทอง มะเขือยาว พริก (สับ) และใบสีเขียว ๆ แล้วก็ยังมีกุ้งตัวสองตัว บะหมี่โซบะ และน้ำซุปมิโซะด้วย! อร่อยเหาะไปเลย!
หลังเสร็จมื้อเที่ยงเราก็เดินกลับไปยังสถานีรถไฟ ขึ้นขบวนถัดไปและกลับถึงเซ็นไดตอนบ่าย 3 โมง
ดูที่บล็อกของผมเพื่ออ่านเกี่ยวกับการผจญภัยอื่น ๆ ของเราในญี่ปุ่น!