"In all my works, light is an important controlling factor" – Tadao Ando
แสง – เงา – คอนกรีต : ดูจะเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์สำคัญของสถาปัตยกรรมที่สร้างสรรค์โดยทาดาโอะ อันโด (安藤 忠雄 - Tadao Ando) สถาปนิกญี่ปุ่นชื่อก้องโลกผู้เป็นหนึ่งในคนสร้างสรรค์งานสถาปัตกรรมยุคใหม่ (Modern Architecture) ที่ทรงอิทธิพลต่อโลกในยุคปัจจุบัน ... อย่างที่ทาดาโอะ อันโด เคยกล่าวไว้ หัวใจสำคัญหนึ่งของการสร้างสถาปัตยกรรมแต่ละชิ้นของเขานั้นจะใช้แสงเข้ามามีส่วนในการมีความหมายต่อสถาปัตยกรรมแต่ละแห่งของเขา ... และนี่ก็คือหนึ่งในสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลกด้วยฝีมือของทาดาโอะ อันโดที่ใช้แสงทำหน้าที่ในงานสถาปัตยกรรมได้อย่างทรงพลังที่สุด
Ibaraki Kasugaoka Church (茨木春日丘教会) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Church of the Light นั้นเป็นโบสถ์ในคริสตศาสนานิกายโปแตสแตนท์ที่สังกัดอยู่ในเครือ United Church of Christ in Japan มันถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1989 ที่เมืองอิบารากิ (Ibaraki) จ.โอซาก้า เพื่อทดแทนโบสถ์ไม้หลังเก่าที่เริ่มทรุดโทรมและยากต่อการดูแลรวมถึงใช้งบประมาณที่สูงเกินไปในการจัดการอีกด้วย โปรเจ็คของการสร้างโบสท์ใหม่ทดแทนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวในระยะยาวจึงเกิดขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยโจทย์หินๆ กับงบประมาณที่มีจำนวนจำกัด (และน้อยมาก) ซึ่งประธานคณะนักบวชอย่าง Kenichi Oishi จึงได้นำเอาเป้าหมายและแนวความคิดที่ต้องการจะสร้างโบสถ์ให้เป็นถาวรวัตถุที่อยู่ยืนยาวที่สุดโดยใช้งบประมาณการดูแลให้น้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็เรียบง่ายที่สุดตามรูปแบบโบสถ์ของนิกายโปแตสแตนท์ซึ่งไม่ยึดติดกับศาสนสถานนั่นเอง เขานำเสนอต่อทาดาโอะ อันโด และนี่ก็คือความท้าทายที่อันโดรู้สึกว่าเป็นโปรเจ็คที่เขาอยากจะทำมันขึ้นมามากที่สุดเลยทีเดียว
ด้วยงบประมาณที่จำกัดมากทำให้การทำงานนั้นลำบากแต่ก็ท้าทายอย่างยิ่ง ทาดาโอะ อันโด อุทิศตนเพื่อการออกแบบงานระดับมาสเตอร์พีซนี้อย่างเต็มที่โดยไม่คำนึงถึงเงินที่จะได้รับ และในที่สุดเขาก็ได้ผู้ร่วมงานอย่าง Tatsumi Construction Company ที่มาดูแลการก่อสร้างและยอมรับทำงานแบบไม่หวังผลกำไร (ซึ่งหายากมากในขณะนั้น) ... แบบแปลนแรกสุดที่ทาดาโอะ อันโดะ ตกลงใช้นั้นเป็นโครงสร้างเพียงแค่สี่เหลี่ยมธรรมดาที่ทำจากคอนกรีตเสริมใยเหล็ก ต่อมาเขาเกิดไอเดียที่จะใช้แผ่นคอนกรีตอีกแผ่นเพื่อตัดกล่องสี่เหลี่ยมนั้นให้เกิดอัตลักษณ์พิเศษในงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ขึ้น โดยโบสถ์ที่เสร็จสมบูรณ์นั้นเป็นเพียงการประกอบกันของผนังคอนกรีตเสริมใยเหล็ก 6 แผ่น แผ่นที่นำมาตัดกล่องนั้นทำมุมเอียง 15 องศา ตัดเศษที่ด้านปลาย ผนังกำแพงชิ้นพิเศษนี้เองก่อกำเนิดฟังก์ชั่นของการกั้นพื้นที่ระหว่างพื้นที่ทำพิธีกรรมทางศาสนากับทางเข้าภายนอกให้มีความเหมาะสม เมื่อมีคนเข้ามาด้านในผนังนั้นจะทำหน้าที่เป็นตัวพักและนำพาให้ไปสู่ประตูซึ่งจะนำคุณเข้าสู่ตรงกลางโบสถ์พอดี (ไม่ใช่เข้ามาจากด้านข้างแล้วเดินมาตรงกลาง) ฟังก์ชั่นจุดนี้นอกจากจะเป็นการสร้างเส้นทางการเดินของคนที่เข้าโบสถ์ได้อย่างดีเยี่ยมแล้วก็ยังมีส่วนช่วยทำให้ผู้มาแสวงบุญนั้นเกิดความประทับใจ (และตกตะลึง) ตั้งแต่แรกก้าว รวมถึงได้รับพลังจากธรรมชาติของแสงแห่งศรัทธาที่ส่องผ่านสัญลักษ์ไม้กางเขนอย่างเต็มเปี่ยมด้วย มันให้ความสัมฤทธิ์ผลมากกว่าการเดินเข้าด้านข้าง และยังช่วยบังแสง หรือกั้นเสียงจากการเข้าแบบโดยตรงอีก
- แต่ทว่าเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมเอกของโลกที่แท้จริงนั้นอยู่ที่กำแพงด้านในสุดซึ่งผนังส่วนนี้เกิดจากการต่อผนังคอนกรีตแบบไม่บรรจบกัน ช่องว่างระหว่างแผ่นคอนกรีต 4 แผ่นนั้นกลายเป็นรูปไม้กางเขนซึ่งเมื่อแสงธรรมชาติลอดผ่านแล้วความเรืองรองที่เกิดขึ้นนั้นราวกับปราฏิหารย์แห่งพระเยซูที่ทรงพลังทีเดียว ด้วยฟังก์ชั่นของการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้นอกจากจะทำให้ประหยัดไฟฟ้ามากขึ้นแล้ว (โดยใช้แสงธรรมชาติแทน) มันยังสร้างอัตลักษณ์ให้โบสถ์แห่งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว และมันก็ยิ่งมีพลังในการสร้างความศรัทธาให้กับผู้มาเยือน รวมไปถึงขณะที่คริสตศาสนชนปฎิบัติศาสนกิจร่วมกันภายในโบสท์ได้อย่างอัศจรรย์
โบสถ์แห่งนี้โด่งดังและเป็นที่รู้จักในด้านการออกแบบไปทั่วโลก มันเป็นตัวแทนหนึ่งที่สามารถอธิบายตัวอย่างของงานออกแบบที่สะท้อนปรัชญา Less is more ได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งสิ่งที่สามารถช่วยสะท้อนปรัชญานี้ได้อย่างดีเยี่ยมนั้นก็คือปรัชญาแห่งเซ็น (Zen Philosophies) ของญี่ปุ่นที่อันโดนั้นเข้าถึงอย่างลึกซึ้งและนำวิถีนี้มาใช้ในการออกแบบงานทุกชิ้นของอันโดได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นงานที่ทรงพลังจากความเรียบง่ายซึ่งมีเสน่ห์อย่างลึกซึ้งทีเดียว
ความโดดเด่นของการตัดกันอย่างกลมกลืนของงานคอนกรีตและงานไม้สีเข้มนั้นเป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจของโบสถ์หลังนี้ เก้าอี้ไม้สีเข้มที่เรียงกันอย่างลดระดับทีละน้อยนั้นสร้างโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสแสงอันทรงพลังได้อย่างทั่วถึงและเข้าถึง เก้าอี้และพื้นไม้สีเข้มนั้นทำมาจากเศษไม้ที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้างโบสถ์หลังนี้เพื่อเป็นการประหยัดงบอีกทางนั่นเอง แต่มันก็กลายเป็นเครื่องใช้ที่มีอรรถประโยชน์และช่วยให้งานออกแบบสถาปัตยกรรมหลังนี้โดดเด่นมีคุณค่ามากขึ้นอีกด้วย
ในปี ค.ศ.1999 อีก 10 ปีให้หลังนั้นทาดาโอะ อันโด ได้ขอสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลัง นั่นก็คือ Sunday School ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ออกแบบให้เชื่อมโยงกันกับ Church of the Light ของเดิมโดยที่โครงสร้างการออกแบบนั้นคล้ายกับอาคารเดิมแต่ถูกวางให้มีโครงสร้างสถาปัยกรรมที่เชื่อมกันอย่างมีความหมายนั่นเอง
ปัจจุบันสถาปัตยกรรมขนาดเล็กแต่ทรงพลังแห่งนี้กลายมาเป็นหนึ่งในผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่โบสถ์แห่งนี้ก็ยังคงแข็งแกร่ง ทนทาน ดูแลง่าย และใช้งานได้ยอดเยี่ยมจนถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกัน Church of the Light ก็กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ที่หลงใหลงานสถาปัตยกรรมต้องแวะเวียนมาชมให้ได้สักครั้งในชีวิตอีกด้วย
ไปอาบแสงแห่งศรัทธากันครับ...
ข้อควรปฎิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการมาเยือน
- เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีการใช้งานจริงอยู่ทุกวัน และมีการปฎิบัติศาสนกิจอยู่เสมอๆ ทางโบสถ์จึงได้มีการจัดการระเบียบในการเข้าชมโบสถ์แห่งนี้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อศาสนิกชนผู้มาแสวงบุญและเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการมาเยือนด้วยนั่นเอง
- โบสถ์จะเปิดให้ชมเฉพาะวันพุธ, เสาร์ และ อาทิตย์ เท่านั้น แต่ก็ตามตารางเวลาที่ไม่สม่ำเสมอ (ซึ่งในบางวันพุธ, เสาร์ และ อาทิตย์ ก็ไม่มีการเปิดให้ชม) ฉะนั้นโปรดเช็คตารางวันที่เปิดให้ชมล่วงหน้าในเว็บไซต์ก่อน และทำการจองล่วงหน้าก่อนที่จะเดินทางมาชมเท่านั้น
- วิธีการจอง : เลือกวันที่ต้องการจะไปตามปฎิทินของโบสถ์ที่เปิดให้เข้าชม / จากนั้นกรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มออนไลน์ของทางโบสถ์ เสร็จแล้วจะมีอีเมลล์อัตโนมัติตอบกลับมา หากท่านได้รับอีเมลล์ตอบกลับแล้วแสดงว่าการจองของท่านนั้นเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ และเราก็สามารถไปชมโบสถ์ในวันนั้นได้เลย (อีเมลล์อัตโนมัติ ไม่ต้องตอบกลับ)
- เวลาเปิดให้ชมโบสถ์ : 13.30-16.00 น. / สามารถมาชมโบสถ์เวลาใดก็ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
- การเข้าชมนั้นไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทางโบสถ์จะมีกล่องรับบริจาควางไว้ด้านหน้า สามารถบริจาคได้ตามจิตศรัทธา
---------------------------------------------------------------
Ibaraki Kasugaoka Church (茨木春日丘教会) - (Church of the Light)
+ ที่ตั้ง : 4-3-50 Kitakasugaoka, Ibaraki, Osaka
+ เวลาเปิดให้เข้าชม : พุธ, เสาร์, อาทิตย์ > 13.30-16.00 น. (วันจะมีกำหนดการไม่แน่นอน โปรดเช็คในเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง)
+ ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าเข้าชม (บริจาคตามศรัทธา)
+ ติดต่อ : ibaraki-kasugaoka-church.jp
+ วิธีเดินทาง :
>JR West : จากสถานี Osaka Station นั่งรถไฟสาย JR Kyoto Line มาลงที่สถานี Ibaraki / จากนั้นเดินบนสะพานลอยไปที่ชานชาลาหมายเลข 2 เสร็จแล้วต่อรถบัสของ Kintetsu Bus สาย 1 หรือ 2 ก็ได้ มาลงที่ป้าย Kasugaokakouen (Kasugaoka Park) (ประมาณ 10 นาที) / ลงจากรถแล้วซ้ายเดินตามถนนขึ้นไปหน่อยจนถึงสี่แยกเล็กๆ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เดินตรงไปอีกหน่อยก็จะเห็นโบสถ์ตั้งอยู่ที่หัวมุมสี่แยกเล็กๆ