ผมกำลังอยู่ในสวนชากุจิอิ ทางตะวันตกของโตเกียว ในขณะที่ตัดสินใจเดินเล่นจากเส้นทางเดินหลักเข้าไปในพื้นที่ป่าของสวน เวลาเดียวกันนั้นผมได้ยินเสียงร้องเพลงแว่วมาแต่ไกล ตอนแรก ผมเดาว่าคงเป็นเสียงมาจากเครื่องบันทึกเสียง แต่เมื่อผมพบกับที่มาของเสียงนั้น กลายเป็นว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอย่างเศร้าสร้อย และกำลังปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เธอยืนอยู่ที่หน้าวัดซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงสูง ด้วยความสงสัย ผมจึงรีบเดินไปจนกระทั่งถึงทางเข้าสู่ซันโป-จิ วัดแห่งความทรงจำที่ผมจะไม่ลืมได้ในเร็ววันนี้เลย
วัดซันโป-จิ อยู่ใกล้กับมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสวนชากุจิอิ เดินไปตามป้ายทางไปซากปราสาท (ซึ่งที่จริงเป็นพื้นดินว่างเปล่า มีแผ่นหินวางอยู่) เดินต่อไปทางใต้จนถึงกำแพงวัด เดินเลาะกำแพงไปจนถึงประตูทางเข้าทางทิศใต้ของวัด เมื่อคุณมองเห็นธงสีสันสดใสเรียงรายเป็นแถว แสดงว่าคุณมาถึงวัดแล้ว ภายในวัดไม่มีป้ายเป็นภาษาอังกฤษ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจภาษาญี่ปุ่นในการดื่มด่ำกับสถานที่เล็ก ๆ ที่น่าจดจำแห่งนี้
ผมเข้าไปในวัดและพบคนอื่นสองคนด้านใน ทั้งสองกำลังเดินออกจากวัดไปอย่างช้า ๆ หลังจากพวกเขาออกไป ผมอยู่โดยลำพังในวัด กับวิหารต่าง ๆ และนกกาที่บินอยู่เหนือศีรษะ ซันโป-จิ มีวิหารอยู่หลายแห่ง และสวนญี่ปุ่นที่มีต้นบอนไซ และประดับด้วยหินที่จัดเรียงไว้อย่างประณีต ทั้งกำแพงด้านนอกและต้นไม้สูงป้องกันเสียงจากถนนที่อยู่ติดกับวัดได้เป็นอย่างดี เสียงเพียงอย่างเดียวที่ผมได้ยินคือ เสียงของลำไผ่ที่เสียดสีไปมาดังเอี๊ยดอ๊าดท่ามกลางสายลม
ผมเดินไปทั่วทุกวิหาร ซึมซับความสวยงามของวัดแห่งนี้ และพยายามอย่างที่สุดเพื่อเก็บความสวยงามนั้นไว้ด้วยรูปถ่าย ผมนั่งอยู่ที่ซันโป-จิสักพักหนึ่ง ฟังเสียงเพลงของลำไผ่และเฝ้ามองรายละเอียดที่ซับซ้อนของสวน เมื่อผมจากมา เสียงเอี๊ยดอ๊าดของลำไผ่ค่อย ๆ จางหายไปด้านหลัง เสียงของผู้หญิงที่กำลังร้องเพลงเศร้ากลับดังขึ้น ๆ จนผมกลับเข้ามาอยู่ในสวนชากุจิอิอีกครั้งหนึ่ง และกลับสู่ทางเดินหลัก ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยเมตร แต่ที่วัดซันโป-จินั้นให้ความรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่ไกลแสนไกล