เทศกาลประดับไฟฤดูใบไม้ร่วงที่วัดคิโยะมิซุ-เดะระ 2024
Jaime Wongเทศกาลประดับไฟฤดูใบไม้ร่วงที่วัดคิโยะมิซุ-เดะระ
สำหรับสถานที่นี้ พวกเขาขายเสน่ห์ที่เรียกว่า “เลี่ยงอุบัติเหตุทางการจราจร” และอีกหนึ่งอย่าง คือ “คุณจะเลี่ยงอุบัติเหตุการจราจรและครอบครัวของคุณจะมีความสุข” โดยแต่ละคนจะต้องเสียค่าใช้จ่าย 400 เยน
ผมคิดว่าผมไม่ต้องสวดมนต์เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางจราจรเว้นแต่ตอนที่ผมอยู่บนจักรยานตอนวิ่งบนทางด่วนหรือถ้าภรรยาต้องออกไปข้างนอกตอนกลางคืนหรือเมื่อผมต้องเจอกับปัญหาปวดท้องตอนที่อยู่กลางเที่ยวบิน ว้าว….ผมคงจะต้องสวดมนต์เยอะแล้วหล่ะ
อะไรคือมูลค่าของการสวดมนต์? 400 เยนเหรอ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราไม่ได้ในสิ่งที่พวกเราสวดมนต์ขอ? มันหมายความว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงเหรอ? หรือ เขาใหญ่กว่าวัตถุที่เราใช้สำหรับสวดมนต์ เราจะทำอย่างไรเมื่อสิ่งที่สวดมนต์ขอเป็นจริงแต่จะเป็นอย่างไรเมื่อไม่เป็นความจริง?
ข้อสงสัยของการเดินทางเป็นช่วงเวลาในการสะท้อนซึ่งจะเป็นการทำจิตใจให้ว่างสำหรับคำถามที่ใหญ่กว่าในชีวิต
การเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเกียวโต สิ่งนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับการพิจารณาอย่างเงียบๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เวลาหลังเก้าโมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่ความชื้นเริ่มถาโถมและมีความหวังและความฝันหรือสถานที่ที่ทำให้ชื่นชอบความงามที่ทำให้คนมีเจตนาสูงขึ้น
การสังเกตผู้คนมากมายในวัดนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ บางคนมาเพื่อชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมและที่ตั้งและบางคนก็ค้นหาการแสวงบุญ
ผมรู้สึกตื้นตันในจิตใจเนื่องจากจิตใจที่ดี ความเมตตาเพื่อครอบครัวและเพื่อนและการขอบคุณพระเจ้าสำหรับการแนะนำและโอกาสที่พวกเขาได้รับในญี่ปุ่น
มันไม่สำคัญว่าคุณจะเชื่ออะไร พวกเราล้วนแต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ก่อนที่เมืองเกียวโตจะเกิดขึ้น พื้นที่นี้มีภูเขาลำธารในเทือกเขาโอตาว่าซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ ดังนั้นในปี 778 วัดคิโยะมิซู-เดรา หรือวัดของน้ำบริสุทธิ์จึงการสร้างขึ้น ตึกที่คุณเห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 17 ชาวญี่ปุ่นกล่าวว่าเมื่อพวกเขาจะตัดสินใจบางสิ่งที่ใหญ่หลวง พวกเขาจะกระโดข้ามไปยังขั้นตอนคิโยะมิซู
ข้างหลังห้องโถงใหญ่และจุดชมวิวและอีกฝั่งของภูเขาคือศาลเจ้า (จิชู) ที่มีหินสองก้อนตั้งอยู่ข้างๆ มีการกล่าวว่าถ้าคุณเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่ง คุณจะพบกับคู่ชีวิตในฝัน
ที่นี่มีทั้งความหวังและรอยยิ้มสำหรับทุกคน เพื่อนแกมโกงอาจจะพยายามนำพวกเขาไปในทางที่ผิดโดยหวังว่าจะได้รับเสียงหัวเราะถ้าตกลงอีกฝั่งหนึ่งแต่ก็หวังว่าพวกเขาจะทำมันได้อยู่ลึกๆ
ตามที่ ฮอลลี่ย์ เกร์ทเตือนผมว่า “ความหวังคือเมล็ดพืชที่พระเจ้าปลูกในหัวใจของพวกเราเพื่อให้เรารับรู้อยู่ตลอดว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีขึ้นหลังจากนี้
By City Bus: Get off at the Gojozaka Stop on Route 206 bound for Higasihama-dori Kitaoji Bus Terminal or Route 100 bound for Kiyomizu-dera Gion/Ginkaku-ji and walk 10 minutes. The bus can be crowded, especially after 11am and on weekends and Spring/ Autumn. Alternate route is Keihan train to Gojo and 15 minute walk via Sannenzaka, or catch a taxi.
เทศกาลประดับไฟฤดูใบไม้ร่วงที่วัดคิโยะมิซุ-เดะระ
วัดคิโยะมิซู-เดรา ที่ศาลเจ้า (จิชู) ที่มีหินสองก้อนตั้งอยู่ข้างๆ มีการกล่าวว่าถ้าคุณเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่ง คุณจะพบกับคู่ชีวิตในฝัน
เทศกาลประดับไฟฤดูใบไม้ร่วงที่วัดคิโยะมิซุ-เดะระ
วัดคิโยะมิซุ-เดะระ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ต้องไปชมของเกียวโต
ใช้เวลาในฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในความทรงจำที่สวยงามที่สุดที่ฉันในภูมิภาคคันไซ วัดคิโยะมิซุเป็นหนึ่งในวัดที่ควรจะเข้าชมในเกียวโต และสำหรับฉันฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเยี่ยมชมวัดคิโยะมิซุ
ประตูไซ-ม่อน ตะวันตก ที่วัดคิโยมิสุ-เดระ เป็นสถานที่ชมอาทิตย์อัสดงที่สวยงามที่ สุดแห่งหนึ่งในเกียวโต เมื่อฉันไปที่นั่นในช่วงปลายเดือนธันวาคม พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงอย่างช้า ๆ ประตูและเจดีย์สามชั้นที่โด่งดังเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางสีส้มจาง ๆ เมื่อมองลงไปจะเห็นได้ว่าเมืองเกียวโตนั้นเป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขา ประตูไซ-ม่อน เคยถูกใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา โดยเป็นที่ซึ่งนักบวชจะเฝ้ามองพระอาทิตย์ตก มองเห็นเป็นลูกไฟกลม (สัญลักษณ์ของการมีชีวิตที่สมบูรณ์) ค่อย ๆ จมหายไป ประตูที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นในปี 1631 แต่มีประตูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 12
เยี่ยมชมวัดมรดกโลกของเกียวโต วัดคิโยะมิสุ และชื่นชมความงามที่ผสมผสานกันของวัดเก่าแก่และดอกซากุระ
นิฮอนหรือนิปปอนแปลตามตัวอักษรหมายความว่า "มาจากดวงอาทิตย์" แต่วลีที่เป็นรู้จักกันทั่วไปโลกซีกโลกตะวันตกคือ ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
นฤดูใบไม้ผลิวัดคิโยะมิซุจะมีงานแสงสีซากุระในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นงานที่งดงามมาก
เทศกาลเซริว-เอะ (Seiryu-e) จัดให้มีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกๆ ปี นอกจากมังกรสีฟ้าขนาดใหญ่แล้ว ยังมีชายในชุดนักรบ เสียงดนตรีที่อบอวลไปทั่วท้องถนน และการเต้นรำที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ในเว็ปไซด์ JapanTravel นี้ มีบทความและเล่าเรื่องด้วยภาพมากมายที่เกี่ยวกับวัดคิโยะมิซุเดะระ (Kiyomizudera) และเป็นเพราะเหตุผลที่ดีอีกด้วย เพราะวัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงและงดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
วัดน้ำใส (Kiyomizudera) เกียวโต: เป็นความบังเอิญที่น่ายินดี นักท่องเที่ยวหลายคนในวันนั้น (ปลายเดือนธันวาคม) ไม่ใช่คนญี่ปุ่นและพวกเขามีความสุขสุดๆ มันทำให้ผมภูมใจและตื่นเต้นที่เห็นว่าพวกเขาตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวญี่ปุ่น
วัดคิโยมิซุเดระ สถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา ที่มีลักษณะพิเศษอีกที่หนึ่งของญี่ปุ่น
โรงแรมชิออนอิน วาจุนไคคุนอยู่ในบริเวณอันสงบของเกียวโตที่ที่คุณสามารถพักผ่อนและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจของคุณ
บ้านเกอิชาอายุ 100 ปีในกิออน (Gion) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นเกสต์เฮ้าส์ที่มีเสน่ห์ มีห้องพักสไตล์ดั้งเดิม รอบๆ สวนญี่ปุ่น
โรงแรมตั้งอยู่บนเนินเขาของเมืองฮิกะชิยะมะ มาพักผ่อนในสถานที่อันสงบและสะดวกสบายท่ามกลางที่สวนญี่ปุ่นที่สวยงาม
แวะชิมกาแฟและขนมที่ร้าน Inoda เจ้าพ่อร้านกาแฟของเกียวโต
ทรัตทอเรียลมิโนมุระคือร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆอยู่ใกล้กับวัดโคไดจิและศาลเจ้ายาซากะ ชุดอาหารกลางวันสำหรับวันธรรมดาราคาค่อนข้างสมเหุสมผล(1,500เยน)และรสชาติอร่อยทีเดียว ในชุดประกอบด้วยจานหลักเป็นพาสต้า สลัดและขนมปัง เครื่องดื่มกับของหวานนั้นต้องสั่งแยก
อยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้ายะสะกะ-จินจา ร้านอุด้ง มิมิโกะอุเป็นร้านบะหมี่เล็กๆ ราคาถูก มีอาหารที่อิ่มอร่อยให้เลือกมากมาย
Kodaiji (高台寺) is located northeast of the Yasaka Hokanji Temple at the foot of the Higashiyama Ryozen Mountains in Kyoto. The official name of the temple is Kodaiji-Jushozenji Temple. In 1606, the temple of Kita-no-Mandokoro was dedicated in memory of her late husband. Kita-no-Mandokoro was also known as nene. The Kaisando (Founder's Hall), Otama-ya (Sanctuary), Kasatei (Tea House), Shiguretei (Tea House), Omotetmon (Gate to the Sanctuary), and Kangetsudai (Moon Viewing Pavilion) are designated as important cultural assets in Japan. The temple garden is said to have been designed by the landscape gardener Kobori Enshu (1579-1647). The Japanese government has designated the garden as a historic site and a place of scenic beauty. The interior of the main building was originally painted with lacquer and covered with exquisite gold decorations. However, the current building was rebuilt in 1912 after several fires. Kodai-ji hosts modern art exhibitions in spring and fall. These are set up in the rock garden in front of Houjyo and are creatively illuminated at night.
Maruyama Park is the oldest public park in Kyoto and a popular springtime cherry blossom viewing spot. It opened in 1886 and is located next to Yasaka Shrine in Higashiyama District. The park was laid out by the well-known gardening expert Ogawa Jibee (1860–1933). As it is one of the most popular places for hanami in Kyoto, it can get quite crowded during the high season in April. The main attraction of the park is a beautiful weeping cherry that is illuminated at night. In the southwest of the park is the Chorakukan Villa, which the Japanese tobacco king Murai Kichibee had built. This property is now used as a hotel.
The Yasaka Cry, located in the Gion district in Kyoto, is often referred to as the Gion Shrine. The shrine is one of the most famous shrines in the city of Kyoto and is located at the end of Shijo-dori Street. The grounds of the shrine include several buildings and gates. Including the main hall and also a stage. Every year, Yakasa Shrine hosts numerous events and festivals that are important to the Japanese and is a popular destination for many visitors to Kyoto City. The Yasaka Shrine respects the gods Susanoo-no-mikoto, Kushiinadahime-no-mikoto, and Yahashira-no-mikogami. Above all, Susanoo-no-mikoto is an important god in Japanese mythology, known for his victory over Yamata-no-orochi (a great serpent with eight heads: a symbol of numerous disasters).